ตอนที่ 211 โฉมงามกลางไพร – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า
ตอนนี้ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 211 โฉมงามกลางไพร จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 211 โฉมงามกลางไพร
เซ่าผิงปออันตรายแค่ไหน เขาเองก็ไม่ทราบ ต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจไป
ถึงแม้จะให้อำนาจตัดสินใจอย่างอิสระ แต่คนระดับเซ่าผิงปอ ไหนเลยจะจัดการได้ง่ายๆ เขาไม่มีโอกาสเข้าใกล้อีกฝ่ายเลย ต่อให้เข้าไปใกล้ก็ไม่มีโอกาสลงมือได้เช่นกัน ข้างกายอีกฝ่ายจะต้องมียอดฝีมือคอยคุ้มกันอยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นทางลับหรือทางแจ้งก็ล้วนแต่ยากจะมีโอกาสได้
เรื่องนี้ทำให้เขาลำบากใจเป็นอย่างมาก จึงทำได้เพียงค่อยๆ ทำความเข้าใจและคิดวางแผนไปช้าๆ
หลังกลับมาถึงเรือนเล็กที่เช่าเอาไว้ในมหานคร เขากางแผนที่มหานครเป่ยโจวออก จ้องมองพลางครุ่นคิดอยู่นานนัก
จากนั้นก็นำกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งออกมา เริ่มวาดผังความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่รอบตัวเซ่าผิงปอลงบนกระดาษ นำเอาสถานการณ์ที่อู๋ซานเหลี่ยงสืบทราบมาได้เขียนเป็นสัญลักษณ์ลงไปในผังเพื่อกันไม่ให้หลงลืม ผังความสัมพันธ์ยังไม่สมบูรณ์ อู๋ซานเหลี่ยงเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน เรื่องที่สืบทราบมีจำกัด ส่วนที่เหลือเขาต้องไปสืบต่อเอง
ตุบ!
มีบางสิ่งร่วงตกลงมาในลานเรือนนอกห้อง
ลู่เซิ่งจงม้วนเก็บข้าวของที่อยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว แอบซ่อนเอาไว้ จากนั้นถึงจะเปิดประตูออกไปดู
ในลานเรือนไร้ผู้คน มีเพียงกระดาษก้อนหนึ่ง เขาเดินไปหยิบมาดู เป็นหินก้อนหนึ่งที่ถูกห่อไว้ในกระดาษ
เขาเปิดประตูใหญ่ออกไปอย่างรวดเร็ว หันซ้ายหันขวามองสำรวจท้องถนน มองเห็นเพียงผู้คนที่สัญจรไปมาประปราย ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นผู้ใดที่โยนเข้ามา
เขาปิดประตู กลับเข้าไปในห้อง คลี่กระดาษก้อนนั้นออกอ่าน ที่มุมหนึ่งของก้อนกระดาษมีภาพตราประทับที่วาดขึ้นเป็นพิเศษ ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าเป็นข่าวที่หนิวโหย่วเต้าให้คนส่งมาให้ นี่เป็นเครื่องหมายที่หนิวโหย่วเต้าและตัวเขาใช้สำหรับติดต่อหากัน
เขาและหนิวโหย่วเต้าไม่ติดต่อหากันโดยตรง เพราะหากมีปีกทองบินไปมาในเมือง นั่นจะกลายเป็นพิรุธอย่างหนึ่ง ทำให้คนสงสัยได้ง่ายๆ แล้วก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาด้วย
หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้บอกเขาเช่นกันว่าคนกลางในการติดต่อเป็นใคร เพียงแค่จัดวางตัวคนที่ทำการค้าอยู่บนถนนคนหนึ่งเอาไว้ให้เขา หากมีเรื่องอะไรก็สามารถส่งข่าวให้อีกฝ่ายได้ จะมีคนเอาข่าวนั้นมาส่งต่อให้หนิวโหย่วเต้าเอง
บนกระดาษล้วนเป็นรหัสลับ ลู่เซิ่งจงเขียนแปลออกมาก่อน จากนั้นค่อยอ่านอย่างละเอียด
เนื้อความในจดหมายลับบอกให้เขาคิดหาทางเข้าหาเซ่าอู๋ปอและเซ่าฝูปอที่เป็นน้องชายเซ่าผิงปอสองคนนั้น พยายามหาวิธีทำให้ทั้งสองทราบเรื่องบางอย่าง
หลังจากอ่านภารกิจที่มอบหมายแล้ว ลู่เซิ่งจงก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด เผาจดหมายลับและข้อความที่แปลออกมาทิ้งไป
หลังจากนั้น เขาพลิกเอาผังความสัมพันธ์บุคคลที่ตนวาดขึ้นมาเมื่อครู่ออกมาอีกครั้ง ลูบคางใคร่ครวญต่อ แววตาวูบไหวไปมาไม่นิ่ง
……
ณ จวนท่องคลื่น ภายในห้องหนังสือ เซ่าผิงปอตรวจเอกสารราชการฉบับแล้วฉบับเล่า เขียนแนะนำไปทีละฉบับแล้ววางไว้ด้านข้าง
เขาทำงานจนกระทั่งใกล้จะถึงมื้อเที่ยง พ่อบ้านเซ่าซานเสิ่งถึงได้เข้ามาเอ่ยเตือน “คุณชายใหญ่พักสักครู่เถิดขอรับ”
เซ่าซานเสิ่งหยิบรายงานฉบับหนึ่งออกมา ประคองส่งให้ด้วยสองมือ “ข่าวจากทางจังหวัดชิงซานขอรับ ซางเฉาจงได้กุมอำนาจทหารและการปกครองของจังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้เเล้วขอรับ!”
ดวงตาเซ่าผิงปอพลันวาวโรจน์ เงยหน้าขึ้นมาทันที ยื่นมือรับรายงานไปเปิดอ่านอย่างละเอียด
หลังอ่านจบ ผ่านไปสักพักถึงจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเฟิ่งหลิงปอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทางซางเฉาจง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกซางเฉาจงฮุบกลืนแน่ เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเร็วขนาดนี้ ควบรวมได้เร็วมาก!”
สายตามองไปที่เนื้อหาในรายงานอีกครั้ง เอ่ยพึมพำว่า “นโยบายการปกครองใหม่…ชาวนาทำนาไม่ต้องเสียภาษี ขอเพียงลงหลักปักฐานในพื้นที่ของสองจังหวัดก็จะได้รับการจัดสรรที่นา ภาษีค้าขายสำหรับพ่อค้าลดลงครึ่งหนึ่ง เขาไปหาทุนทรัพย์มาจากไหนมากมายปานนั้น?”
ซานเซ่าเสิ่งเอ่ยว่า “น่าจะได้รับการสนับสนุนจากสำนักหยกสวรรค์ขอรับ หาไม่แล้วลำพังเลี้ยงดูสำนักหยกสวรรค์เพียงอย่างเดียว ทั้งสองจังหวัดคงไม่มีทางทำได้ง่ายๆ แล้วไหนจะมีค่าใช้จ่ายด้านการปกครองและกองทัพของทั้งสองจังหวัดอีก หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักหยกสวรรค์ล่ะก็ ซางเฉาจงคงไม่มีทางทำเช่นนี้ได้ขอรับ”
เซ่าผิงปอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ถอนใจเบาๆ พลางกล่าวว่า “ชาวนาทำนาไม่ต้องเสียภาษี นี่จะต้องดึงดูดผู้อพยพจากทั่วสารทิศให้มุ่งหน้าไปบุกเบิกที่ดินเพาะปลูกได้แน่ เมื่อมีคนไปรวมตัวกันมากเข้า การค้าย่อมต้องเฟื่องฟู ประกอบกับภาษีการค้าลดลงครึ่งหนึ่ง ด้วยสิ่งล่อใจสองข้อนี้ ย่อมดึงดูดพ่อค้าจำนวนมากให้มุ่งหน้าไปทำการค้าที่นั่นด้วยเช่นกัน ดูคล้ายภาษีการค้าลดลงครึ่งหนึ่ง แต่ในด้านปริมาณแล้วกลับไม่ขาดทุนเลย เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อนโยบายการปกครองรูปแบบใหม่ที่ได้รับความเชื่อมั่นแพร่กระจายออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้คน ทรัพย์สินและทรัพยากรต่างๆ ก็จะมากระจุกอยู่ในสองจังหวัดนี้ ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่พ่อค้านำมา ผู้คนจำนวนมากที่มารวมตัวกัน เสบียงอาหารที่ชาวบ้านเพาะปลูกขึ้นมา ต้องการเงินก็มีเงิน ต้องการคนก็มีคน ต้องการเสบียงก็มีเสบียง นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าวิสัยทัศน์กว้างไกล หากมองจากจุดนี้แล้ว สำนักเขามหายานเทียบสำนักหยกสวรรค์ไม่ติดเลย!”
เซ่าซานเสิ่งกล่าวว่า “สำนักเขามหายานมีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูคนมากมายขนาดนั้น การจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับสำนักหยกสวรรค์นั้นมิใช่เรื่องง่าย พื้นที่ขนาดเล็กเองก็มีข้อดีของพื้นที่ขนาดเล็ก สำนักหยกสวรรค์เสียไปสักส่วนสองส่วนก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก ลองเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างมณฑลเป่ยโจวสิ เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงหักใจไม่ลงเช่นกันขอรับ”
เซ่าผิงปอโบกมือเล็กน้อย สีหน้าเหนื่อยใจ ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก รายงานเองก็ถูกโยนกลับไปบนโต๊ะ ไม่อยากอ่านอีก อ่านไปก็รังแต่จะรู้สึกอิจฉาและหงุดหงิดใจ หากสำนักเขามหายานสามารถให้การสนับสนุนตระกูลเซ่าอย่างเต็มกำลังได้เช่นนี้ล่ะก็ เขาก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจมากขนาดนี้ คงจะลดภาระไปได้มากนัก
เซ่าซานเสิ่งเอ่ยว่า “ได้รับการยืนยันมาแล้วขอรับ หนิวโหย่วเต้ากลับไปที่จังหวัดชิงซานแล้วจริงๆ ขณะนี้พักอยู่ในหุบเขานอกตัวเมืองขอรับ”
“พักอยู่ในหุบเขานอกตัวเมือง?” เซ่าผิงปอหรี่ตาลง เอ่ยถามว่า “หาโอกาสกำจัดเขาได้หรือไม่?”
เซ่าซานเสิ่งส่ายหน้าพลางตอบว่า “ยากยิ่งขอรับ เคยลองส่งคนเข้าไปใกล้ๆ แล้ว ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย เสียคนไปสองคนแล้ว จากข่าวที่ส่งกลับมา สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาส ทั้งสามสำนักได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นกันหมด ข้างกายหนิวโหย่วเต้ามีผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มใหญ่คอยร่วมมือกันดูแลอารักขา ยอดฝีมือเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด เทียบกับผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างกายซางเฉาจงแล้วมีจำนวนมากกว่าไม่รู้กี่เท่า คนนอกไม่มีโอกาสลงมือได้เลย ต่อให้ระดมกำลังผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากบุกโจมตี เกรงว่ายังไม่ทันได้พบตัวเขา เขาก็คงไหวตัวหลบหนีไปก่อนแล้วขอรับ”
“ดึงคนมากมายขนาดนี้มาคุ้มกัน มิได้ต่างอะไรกับวัวสันหลังหวะ!” เซ่าผิงปอเยาะหยัน จากนั้นเอ่ยเนิบๆ ว่า “สามสำนักที่เคยพึ่งพิงตระกูลซ่งกลับไปเข้าร่วมกับเขาแทน เห็นทีคดีสังหารหมู่ตระกูลซ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับเขา”
เซ่าซานเสิ่งเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ เขากลับจังหวัดชิงซานไปแล้ว เรื่องผลตะวันชาดลงมือได้เลยหรือเปล่าขอรับ?”
เซ่าผิงปอถามกลับ “ทางมณฑลจินโจวมีความผิดปกติอันใดหรือไม่?”
เซ่าซานเสิ่งตอบว่า “ขณะนี้ยังไม่มีเรื่องผิดปกติอันใดขอรับ”
เซ่าผิงปอถามอีกครั้ง “ตั้งแต่เกิดเรื่องที่หอหิมะเหมันต์จนถึงตอนนี้ ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว?”
เซ่าซานเสิ่งตอบ “ใกล้จะสามเดือนแล้วขอรับ”
สุดท้าย รถม้าคันหนึ่งจอดลงหน้าประตูหลังของหอนางโลม สตรีนางหนึ่งที่สวมแพรโปร่งบดบังใบหน้า เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชร เดินออกมาจากหลังเรือนอย่างชดช้อย ตามหลังลู่เซิ่งจงไป มุดเข้าไปในรถม้าด้วยกัน
เสียงหวดแส้ดังขึ้น ล้อรถม้าหมุนเคลื่อนตัวจากไป…
….
เสียงขลุ่ยอ้อยอิ่ง ดังสะท้อนไปมาอยู่กลางป่าเขา
ขบวนม้าหยุดลง อู่เทียนหนานที่อยู่บนหลังม้าเหลียวมองไปรอบๆ จู่ๆ สายตาพลันเพ่งออกไป จ้องมองไปบนเนินเขาลูกหนึ่งที่อยู่ในป่าข้างถนนอย่างเลื่อนลอย มองเห็นสตรีที่อยู่ในชุดขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะนางหนึ่ง ใบหน้างดงามอ่อนหวาน สิบนิ้วเรียวงามประคองขลุ่ยเลาหนึ่งไว้ เป่าบทเพลงท่วงทำนองโศกศัลย์ สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
คล้ายจะสังเกตเห็นการจ้องมองอย่างไร้มารยาทของทางนี้ โฉมงามหยุดเป่าขลุ่ย ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินลงไปทางด้านหลังเนินเขา
อู่เทียนหนานและผู้ติดตามอีกสองสามคนสบตากัน ต่างรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย รูปลักษณ์งดงามผุดผ่องเช่นนั้น แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นสตรีมีชาติตระกูล คุณหนูมีชาติตระกูลที่งามเฉิดฉันปานนี้มาอยู่ในป่าเขาเช่นนี้ได้อย่างไร?
ทั้งกลุ่มยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน ควบม้ามุ่งไปที่เชิงเขาพร้อมกัน ถึงได้พบว่ามีรถม้าคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ในป่า
ทั้งกลุ่มลงจากม้า เดินขึ้นไปบนเนินเขา ก่อนจะมองเห็นร่างอ้อนแอ้นของสตรีชุดขาวนางนั้นอีกครั้ง
เพียงแต่ข้างกายสตรีชุดขาวกลับมีบุรุษเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง กำลังจุดธูปเผากระดาษอยู่หน้าป้ายหลุมศพเก่าๆ หลุมหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าหนึ่งหญิงหนึ่งชายกำลังเซ่นไหว้ผู้ใดอยู่
สถานที่แห่งนี้อยู่ในเขตอำเภอผิงชวน อู่เทียนหนานก้าวอาดๆ ลงจากเนินเขาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ พาคนของตนมุ่งไปที่หน้าหลุมศพ
ชายหญิงคู่นั้นหันมามอง ฝ่ายชายมิใช่ใครอื่น เป็นลู่เซิ่งจง
เมื่อได้เห็นใบหน้าของสตรีนางนั้นในระยะใกล้ เรียกได้ว่ายิ่งงามพิสุทธิ์ เจือความสง่างามมีการศึกษาอยู่หลายส่วน ผิวพรรณขาวผ่อง ประกอบกับเรือนร่างที่ดูเย้ายวนใจ เอวคอดอกนูนเด่น ดวงตาของอู่เทียนหนานพลันเปล่งประกาย คิดไม่ถึงว่าในอำเภอผิงชวนจะยังมีสตรีงดงามเช่นนี้อยู่ด้วย
ชิ้ง! มีเสียงกระบี่แว่วขึ้น ลู่เซิ่งจงพลันคว้ากระบี่ที่อยู่ด้านข้าง ชักกระบี่ยาวออกจากฝัก ตวัดมือคราหนึ่ง ปราณกระบี่สายหนึ่งฟันพุ่มหนามที่อยู่ใกล้ๆ จนขาด
พวกอู่เทียนหนานสะดุ้งโหยงทันที ทราบว่าพบผู้บำเพ็ญเพียรเข้าแล้ว รีบเก็บความคิดสกปรกไปทันที
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” ลู่เซิ่งจงถามอย่างเย็นชา ดวงตาฉายแววตักเตือนอย่างเห็นได้ชัด
อู่เทียนหนานรีบโบกมือพลางกล่าวว่า “ฝ่าซืออย่าได้เข้าใจผิดไป พวกข้าเพียงเดินทางผ่านมาทางนี้ จู่ๆ เห็นสตรีบอบบางปรากฏตัวอยู่ในป่าเขาเพียงลำพัง กังวลว่าจะเกิดอันตราย จึงตามมาดูเท่านั้น”
ลู่เซิ่งจงกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”
…………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า