ตอนที่ 212 แมลงติดใย
อู่เทียนหนานกล่าวด้วยความตกใจ “ทุกประโยคเป็นความจริง บิดาข้าคือปลัดอำเภอผิงชวน รับผิดชอบดูแลชาวบ้านในเขตอำเภอนี้ ข้ามีเจตนาดีจริงๆ หาได้คิดจะล่วงเกินฝ่าซือไม่ ขอฝ่าซือโปรดอภัยด้วย!”
“ปลัดอำเภอหรือ?” ลู่เซิ่งจงคล้ายสงสัย
“พวกเขามีเอกสารทางการ สามารถพิสูจน์ได้” อู่เทียนหนานรีบโบกมือให้ผู้ติดตาม
หนึ่งในผู้ติดตามหยิบเอกสารราชการฉบับหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระอย่างรวดเร็ว นอกจากอู่เทียนหนานแล้ว คนที่เหลือล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ของอำเภอผิงชวน กำลังจะนำเอกสารราชการไปส่งให้ทางมณฑลเป่ยโจว จึงถือโอกาสคุ้มกันอู่เทียนหนานไปส่งด้วย
ลู่เซิ่งจงรับเอกสารราชการไปมองดูหน้าปกเล็กน้อย เป็นเอกสารของที่ว่าการอำเภอจริงๆ บนหน้าปกมีตราประทับของที่ว่าการด้วย
ลู่เซิ่งจงโยนหนังสือราชการกลับไป ไม่พูดอะไรอีก เก็บกระบี่เข้าฝัก หันไปเอ่ยกับหญิงสาวว่า “ไปเถอะ”
พวกอู่เทียนหนานโล่งอก มองลู่เซิ่งจงประคองสาวน้อยเดินขึ้นเนินเขาไป
กระทั่งทั้งกลุ่มขึ้นไปบนเนินเขา เห็นสาวน้อยมุดเข้าไปในรถม้า ส่วนฝ่ายชายบังคับรถม้าเข้าสู่เส้นทางหลวง เคลื่อนตัวจากไป
ทั้งกลุ่มเองก็เดินลงจากเนินเขา กระโดดขึ้นหลังม้า เดินทางต่อไป ผลปรากฏว่ามุ่งหน้าไปตามเส้นทางเดียวกันกับรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้า ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นว่าเดินทางไปด้วยกัน
หลังจากทั้งสองฝ่ายค่อยๆ พูดคุยกันไป ก็นับว่ารู้จักกันแล้ว
อู่เทียนหนานถึงได้ทราบว่าฝ่ายชายมีนามว่าเถาจวิน สตรีนางนั้นมีนามว่าเถาเยี่ยนเอ๋อร์ ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน
สองพี่น้องพื้นเพเป็นคนอำเภอผิงชวน เมื่อครั้งเยาว์วัยเถาจวินผู้เป็นพี่ชายบังเอิญพบผู้บำเพ็ญเพียร จึงเข้าสู่วิถีบำเพ็ญเพียร เดินทางออกไปจากอำเภอผิงชวน ต่อมามารดาล้มป่วยแล้วลาโลกไป หลุมศพที่สองพี่น้องไปเซ่นไหว้ก่อนหน้านี้ก็คือหลุมศพของมารดา ภายหลังอำเภอผิงชวนเกิดจลาจล ตระกูลเถาจึงอพยพออกจากอำเภอผิงชวน บิดาที่เพิ่งจากโลกไปได้ไม่นานบอกว่าเถาเยี่ยนเอ๋อร์ผู้เป็นน้องสาวเคยมีสัญญาหมั้นหมายเกี่ยวดองตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกกับตระกูลหนึ่งในอำเภอผิงชวน
สองพี่น้องเดินทางมาครานี้ก็เพราะเรื่องวิวาห์ ผู้ใดจะทราบว่าพอกลับมาสืบข่าวดู ถึงได้รู้ว่าตระกูลของฝ่ายชายที่หมั้นหมายกันไว้ได้หายตัวไปตั้งแต่ช่วงที่เกิดจลาจลแล้ว
รถม้าโคลงเคลง สตรีบอบบางอย่างเถาเยี่ยนเอ๋อร์นั่งนานๆ ไม่ไหว อีกทั้งขี่ม้าไม่เป็น จึงต้องลงจากรถม้ามาพักผ่อนเป็นระยะ
เมื่อทราบว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน สองพี่น้องจึงปฏิบัติต่อพวกอู่เทียนหนานอย่างเป็นมิตรขึ้นมาก บางครั้งบางคราวยามที่หยุดพักระหว่างทาง เถาเยี่ยนเอ๋อร์ยังเป็นฝ่ายชวนอู่เทียนหนานพูดคุยก่อนด้วย
“ข้าจำได้ว่าทางตอนใต้ของเมืองมีเจดีย์อยู่แห่งหนึ่ง เมื่อครั้งยังเป็นเด็กยังเคยปีนขึ้นไปเที่ยวเล่น ครั้งนี้กลับมาพบว่าเจดีย์ที่ว่านั้นหายไปแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด?”
อู่เทียนหนานหัวเราะพลางตอบว่า “จำได้ๆ ทางตอนใต้ของเมืองเคยมีเจดีย์อยู่จริงๆ น้องสาวคงยังไม่ทราบ เจดีย์แห่งนั้นคงอยู่มานานนม ซ้ำยังสร้างขึ้นในยุคสมัยราชวงค์อู่ที่พุทธศาสนารุ่งเรือง ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นเวลานานจนเก่ามากแล้ว ครั้งหนึ่งเกิดพายุฝนรุนแรงขึ้น จู่ๆ จึงพังถล่มลงมา ยามที่ชาวบ้านในละแวกนั้นซ่อมแซมบ้านเรือนต้องการใช้อิฐ คนนั้นมาขนไปนิด คนนี้มาขนไปหน่อย ถึงได้หายไปเช่นนี้ ภายหลังพอกลายเป็นพื้นที่ว่างโล่งก็เลยมีคนเข้ามาจับจองพื้นที่ยึดครอง”
“จำได้ว่ามีป่าไผ่ผืนหนึ่งอยู่ตรงข้ามกับเจดีย์ ในป่าไผ่มีเหลาสุราแห่งหนึ่ง สมัยเด็กๆ เคยติดตามท่านพ่อไป เหตุใดถึงหายไปเช่นกันล่ะ?”
“เหลาสุราแห่งนั้นเกิดเพลิงไหม้ ป่าไผ่รวมถึงบ้านเรือนในละแวกนั้นล้วนถูกไหม้ไปหลายแห่ง เป็นเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังจำได้ดี”
“เฮ้อ ไม่อาจตามไขว่คว้าความทรงจำในอดีตได้แล้ว น่าเสียดาย” เถาเยี่ยนเอ๋อร์มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
ดูเหมือนเถาเยี่ยนเอ๋อร์จะถวิลหาอดีตที่อยู่ในความทรงจำยามเยาว์วัย จึงสอบถามถึงเรื่องในอดีตบางอย่างของอำเภอผิงชวนไม่หยุด
ท่าทีรู้มารยาทพูดจานุ่มนวลมีขอบเขต บุคลิกอ่อนหวานมีการศึกษา อีกทั้งใบหน้าอันงดงามที่ประทินโฉมเพียงบางเบา รวมถึงเรือนร่างอ้อนแอ้นเพรียวบาง อู่เทียนหนานมองดูจนจิตใจร้อนรุ่มขึ้นมา พบว่าพอเทียบกับภรรยาที่บ้านแล้วดูต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว
ยิ่งเมื่อทราบว่าสตรีนางนี้ยังมิได้ออกเรือน อีกทั้งมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร น่าจะถึงวัยที่สมควรออกเรือนแล้ว ภายในใจเรียกได้ว่าเกิดความกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมา อยากจะได้นางมาเชยชมใจแทบขาด จนใจที่ยังเกรงกลัวพี่ชายของนาง
สำหรับคำถามของเถาเยี่ยนเอ๋อร์ อู่เทียนหนานเรียกได้ว่าคอยตอบทุกคำถามจริงๆ แล้วก็รักษามาดสุภาพชนผู้เรียบร้อยเอาไว้ตลอด ท่าทีดูงามสง่า ทว่าไม่ปริปากออกไปแม้แต่นิดเดียวว่าตนมีภรรยาแล้ว
พอได้อยู่ด้วยกัน อู่เทียนหนานรู้สึกราวกับได้อาบไล้สายลมในฤดูใบไม้ผลิ ปลอดโปร่งชื่นใจ
เมื่อเถาเยี่ยนเอ๋อร์เรียกขานว่า ‘พี่อู่’ ก็ยิ่งทำให้อู่เทียนหนานที่ถูกเรียกคล้ายกำลังลอยล่อง
ระหว่างทางเขาคอยดูแลสองพี่น้องเป็นอย่างดี เรียกว่าแม้แต่เรื่องยิบย่อยบางอย่างก็วิ่งเต้นคอยช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ใช้คำพูดดูดีว่าล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน ย่อมสมควรให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว
เพียงแต่ไม่ทราบว่าถ้าเป็นคนบ้านเดียวกันคนอื่นๆ ในอำเภอผิงชวน เขาเหล่านั้นจะได้รับการดูแลเช่นนี้ด้วยหรือไม่
จนกระทั่งส่งสองพี่น้องถึงสถานที่พักภายในมหานครแล้ว อู่เทียนหนานจึงขอตัวจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
แต่ในวันเวลาหลังจากนั้น อู่เทียนหนานก็มาเยี่ยมเยือนสองพี่น้องแทบจะทุกวัน
….
หนิวโหย่วเต้าที่หลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายได้อีกจุดหนึ่งเดินออกมาจากในกระท่อม เฮยหมู่ตานเดินเข้าไปหา
หนิวโหย่วเต้าโบกมือเล็กน้อย สื่อว่าไม่ต้องตามมา มุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของหุบเขาตามลำพัง
เดินเลียบลำธารขึ้นไปยังต้นน้ำ ในที่สุดก็มายืนอยู่ริมสระน้ำแห่งหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าก้าวลงไปในสระน้ำ ค่อยๆ นั่งขัดสมาธิลงไปน้ำ น้ำท่วมมิดอก
เขาหลับตาลง ขาขัดสมาธิ โคจรพลัง
ไม่นานนักก็ปรากฏเกล็ดน้ำแข็งขึ้นรอบตัวเขา ก่อตัวเป็นวงน้ำแข็งล้อมรอบตัวเขา
น้ำแข็งค่อยๆ ขยายตัวไปตามผิวน้ำ ขยายตัวออกไปด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ผ่านไปไม่นาน น้ำครึ่งหนึ่งในสระก็แข็งตัว จับตัวแข็งจนเป็นก้อนน้ำแข็งที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งจั้ง ห่อหุ้มตัวหนิวโหย่วเต้าเอาไว้ แผ่ไอเย็นออกมาภายใต้แสงตะวัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีไอร้อนลอยฟุ้งออกมาจากตำแหน่งใจกลางก้อนน้ำแข็งที่ห่อหุ้มเขาเอาไว้อีกครั้ง พื้นที่ของผิวน้ำแข็งที่หลอมละลายแผ่กระจายออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
ท้ายที่สุดชั้นน้ำแข็งที่ค่อยๆ บางลงก็ต้านทานกระแสน้ำไม่ไหว แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ล่องลอยอยู่บนผิวน้ำ ไหลไปตามกระแสน้ำ
ตูม!
จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็พุ่งตัวขึ้นมาจากในน้ำ ละอองน้ำสาดกระเซ็นตามขึ้นมา
หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ท่ามกลางละอองน้ำฟันฝ่ามือซ้ายไปในอากาศ ละอองน้ำส่วนใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายมือพลันกลายเป็นลูกเห็บร่วงตกลงไปในน้ำเบื้องล่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า