ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 226

ตอนที่ 226 เรียนหนังสือมาเสียเปล่า

เขานึกว่าถานเย่าเสี่ยนพูดเพ้อเจ้อด้วยความเมามาย

ถานเย่าเสี่ยนที่ใช้แขนข้างหนึ่งประคองศีรษะหัวเราะเยาะตัวเอง ดวงตาฉ่ำเยิ้มด้วยฤทธิ์สุรา ค่อยๆ กล่าวพึมพำออกมา “ใช้ใบไม้แห้งถ่ายทอดความในใจ…”

กระทั่งเขาเผยความจริงออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ ลู่เซิ่งจงพลันพูดไม่ออกไปทันที พบว่าหนุ่มสาวที่อยู่ในห้วงแห่งความรักคู่นี้ช่างเก่งกาจจริงๆ เก่งกาจกว่าตัวเขาเสียอีก คิดไม่ถึงว่าการป้องกันอันแน่นหนาของจวนผู้ว่าการมณฑลจะถูกหนุ่มสาวคู่นี้ทำลายลงเสียได้

ในสวนของจวนผู้ว่าการมณฑลมีคลองเชื่อมต่อกับด้านนอก คนผ่านเข้าไปไม่ได้ ทว่าใบไม้สามารถล่องผ่านเข้าไปได้ หนุ่มสาวคู่นี้สลักอักษรลงบนไบไม้ แล้วปล่อยใบไม้ล่องเข้าล่องออกเพื่อสื่อสารฝากความในใจ คลายความคะนึงหาระหว่างทั้งสอง

ทั้งสองนัดแนะกันไว้แล้วว่าช่วงที่ล่องใบไม้ หากใช้ใบไม้ใบเดียวเกรงว่าจะดูผิดสังเกต จึงเพิ่มเข้าไปให้มากหน่อย นี่ต้องมีแรงจูงใจมากเพียงใดถึงจะอดทนกระทำเรื่องประเภทนี้ได้

ถานเย่าเสี่ยนจะนำใบไม้ที่จัดเตรียมไว้ปล่อยให้ล่องไปตามสายน้ำ ส่วนเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็จะมารอเก็บใบไม้ที่ล่องมาในสวนตามช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้ จากนั้นเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จะปล่อยใบไม้ที่สลักอักษรเอาไว้เรียบร้อยตามช่วงเวลาที่นัดแนะกันไว้อีกครั้ง ส่วนถานเย่าเสี่ยนก็จะมารอเก็บใบไม้ที่ล่องไปถึงปลายน้ำนอกจวนผู้ว่าการมณฑลตามช่วงเวลาที่นัดแนะไว้เช่นกัน

ทั้งสองติดต่อสื่อสารกันเช่นนี้มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ถานเย่าเสี่ยนจึงทราบว่าเรื่องที่ชุมนุมกวีถูกยุบมีความเกี่ยวข้องกับเซ่าผิงปอ ทราบว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ถูกเซ่าผิงปอควบคุมเอาไว้ไม่ปล่อยให้ออกมา

เดิมทีถานเย่าเสี่ยนคิดจะพึ่งพาความกล้าของคนหนุ่มไปขอพบเซ่าผิงปอ ยอมทุ่มหมดหน้าตักเพื่อสู่ขอเซ่าหลิ่วเอ๋อร์อะไรทำนองนั้น

ผู้ใดจะทราบว่าความจริงที่ถาโถมเข้ามาจะทำให้เขาต้องล้มหน้าคว่ำ อย่างแรกคือเขาถูกโรงเรียนที่เขาสอนหนังสืออยู่ไล่ออก

ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปสมัครสอนหนังสือที่โรงเรียนอื่น ตัวเขาก็นับว่าพอมีชื่อเสียงในมณฑลเป่ยโจวอยู่บ้าง มิเช่นนั้นบัณฑิตยากไร้คนหนึ่งที่ไม่มีเงินและไม่มีฐานะชาติตระกูลคงไม่มีคุณสมบัติพอจะได้เข้าร่วมชุมนุมกวีของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ ดังนั้นจึงนับว่าพอหางานได้ไม่ยาก ทว่าปัญหาคือขณะที่เขาเพิ่งทำงานได้แค่ไม่กี่วัน นายจ้างก็หาข้ออ้างไล่เขาออกทันที

หากมีแค่แห่งเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่หลังจากนั้นยังคงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาเรื่อยๆ ภายหลังเขาถูกบีบคั้นจนไร้ทางออก ได้แต่ต้องเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่นแทน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่

เมื่อเวลาผ่านไป เขาหางานทำไม่ได้ ถูกตัดแหล่งรายได้เลี้ยงชีพ ถูกความเป็นอยู่บีบคั้น เขาจึงเริ่มนำของใช้ในบ้านไปจำนำเพื่อยังชีพ ถึงพอจะอยู่รอดมาถึงปัจจุบันได้

เขาเองก็ไม่โง่เช่นกัน ตระหนักได้แล้วเช่นกัน เกรงว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเซ่า

ถึงแม้ตระกูลเซ่าจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่นี่ก็เท่าเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าไม่เห็นด้วยที่เขาและเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จะอยู่ด้วยกัน

เจตนาสื่อชัดเจนยิ่ง เจ้าเลี้ยงตัวเองยังไม่รอดด้วยซ้ำ มีสิทธิ์อะไรมาขอแต่งกับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์?

ซึ่งในความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนั้น กระทั่งการเลี้ยงชีพที่เป็นพื้นฐานยังเป็นปัญหา แล้วจะเอาอะไรไปทุ่มหมดหน้าตักกับเซ่าผิงปอ? อีกฝ่ายสะกิดจุดอ่อนเจ้าก็เพื่อเตือนสติเจ้า เจ้ายังจะวิ่งไปหาเขาเพื่อให้เขาพูดออกมาต่อหน้าอีกหรือ? ฐานะชาติตระกูลของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากเกินไป

ยิ่งยากจนเท่าไรก็ยิ่งคิดถึงด้านนี้มากขึ้นเท่านั้น คิดว่าอาหารการกินตามปกติทั่วไปของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เป็นอย่างไรกันเล่า? ต่อให้ตระกูลเซ่าไม่ได้กดดันตน แล้วตนจะเลี้ยงดูนางไหวหรือ?

ในใจเศร้าหมอง ในที่สุดก็ถูกความเป็นจริงตอกหน้า จึงล้มเลิกความคิดนั้นไป ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดคือทำอย่างไรถึงจะอยู่รอดต่อไปได้

เขาเองก็ทราบแล้วเช่นกัน หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงอยู่ในมณฑลเป่ยโจวต่อไปได้อีกไม่นาน ข้าวของในบ้านที่จำนำได้ก็ล้วนเอาไปจำนำจนแทบไม่เหลือแล้ว หากอยากอยู่รอดต่อไป อีกไม่นานเขาคงต้องเดินทางออกจากมณฑลเป่ยโจวแล้ว

เขาเองก็เตรียมใจเอาไว้แล้วเช่นกัน หลังจากไม่เหลือข้าวของในบ้านให้จำนำแล้ว เขาจะนำบ้านที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่หลังนี้ขายทิ้งไป เก็บเงินก้อนหนึ่งเป็นค่าเดินทาง ไปจากบ้านเกิดแห่งนี้ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว สมควรตื่นจากความฝันที่ไม่มีทางเป็นความจริงได้แล้ว!

พอเล่ามาถึงตรงนี้ ถานเย่าเสี่ยนก็น้ำตาไหล ฟุบลงไปนอนบนโต๊ะ เพียงแต่ยังคงพึมพำออกมาคล้ายละเมอว่า “หลิ่วเอ๋อร์…หลิ่วเอ๋อร์…”

“ถานซยง…ถานซยง…” ลู่เซิ่งจงเขย่าไหล่อีกฝ่าย ตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง ปลุกไม่ตื่นเลย อีกฝ่ายหลับไปจริงๆ แล้ว

ลู่เซิ่งจงกลับมานั่งที่ของตน นับว่าพอจะมองออกแล้ว คนผู้นี้ถูกบีบคั้นจนมาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังไม่ยอมจากไป ยังคงต้องการรอจนกว่าในบ้านจะไม่เหลือข้าวของให้จำนำแล้วถึงจะจากไป มองออกว่าในใจยังคงปล่อยวางเรื่องเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ ยังคงโอบกอดความหวังเสี้ยวสุดท้ายเอาไว้อยู่

เมื่อได้ยินเสียงละเมอเพ้อพกของถานเย่าเสี่ยนที่หลับไปแล้ว ลู่เซิ่งจงส่ายหน้า รู้สึกว่าน่าขบขันนัก

เขาพบว่าคนผู้นี้ช่างคร่ำครึเสียจริง เกี้ยวพาได้หัวใจเซ่าหลิ่วเอ๋อร์มาแล้ว แต่กลับไม่คิดจะปีนป่ายใฝ่สูงไปพึ่งพาอำนาจบารมีของตระกูลเซ่าเลย กลับเอาแต่คิดเรื่องที่ตนเองเลี้ยงดูเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไม่ไหว ตัวเองทรมานตัวเอง หาเรื่องทำให้ตัวเองลำบากเอง หากเจ้าได้แต่งกับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จริงๆ เมื่อมีตระกูลเซ่าอยู่ เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ยังจะเป็นปัญหาอีกหรือ? มัวแต่กังวลในเรื่องที่ไม่จำเป็น!

แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายหลักเหตุผลนี้กับถานเย่าเสี่ยน พูดเรื่องพวกนี้กับบัณฑิตที่หยิ่งในศักดิ์ศรีไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายกลับจะคิดว่าเจ้ากำลังดูถูกเขาอยู่ คนประเภทนี้ต้องปล่อยให้ไปเผชิญชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงในอนาคตจนยอมแพ้จริงๆ ก่อน เขาถึงจะยอมก้มหัวลงมา

ลู่เซิ่งจงลุกขึ้นเดินไปเดินมาในบ้าน ตัวเขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เดิมทีมาเพื่อสืบดูนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะสืบพบเรื่องแบบนี้

ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นอู่เทียนหนานถึงไม่ยอมพูด ไม่ใช่ว่าไม่ยอมพูด แต่เป็นเพราะกริ่งเกรงในอำนาจตระกูลเซ่าจึงไม่กล้าพูดเหลวไหล

แม้แต่อู่เทียนหนานก็ยังมองออก เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างถานเย่าเสี่ยนและเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ในชุมนุมกวีนั้นมิใช่ความลับอะไรเลย คนอื่นมองออกตั้งนานแล้ว เพียงแต่คนโง่ทั้งสองที่เป็นเจ้าของเรื่องกลับนึกว่าไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น เรียกได้ว่าคนในมองไม่ชัด แต่คนนอกกลับมองเห็นทะลุปรุโปร่ง!

เรื่องที่ทำให้ลู่เซิ่งจงสงสัยคือเซ่าผิงปอมิใช่คนมีจิตเมตตาอันใด เป็นคนลงมือโหดเหี้ยมเด็ดขาด ทั้งที่ไม่เห็นด้วย แต่ถานเย่าเสี่ยนคนนี้กลับยังอยู่รอดปลอดภัยอยู่ในมณฑลเป่ยโจวอย่างนั้นหรือ? หากบอกว่าเซ่าผิงปอคร้านจะมาสนใจ อย่างนั้นเหตุใดต้องใช้วิธีการเช่นนี้มาจัดการกับคนตัวเล็กๆ อย่างถานเย่าเสี่ยนด้วย

……

วันรุ่งขึ้น ถานเย่าเสี่ยนที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมาด้วยความมึนงง ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นมา นึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นได้ ตนน่าจะดื่มมากเกินไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า