ตอนที่ 239 ยาดีย่อมขม
แต่นี่ก็เป็นจุดที่ทำให้เขารู้สึกสงสัยเช่นกัน หากว่าเป็นพวกแอบอ้าง แล้วยังกล้าวิ่งโร่มาโกหกหลอกลวงทางนี้ เช่นนั้นอีกฝ่ายคงหน่ายจะมีชีวิตแล้ว
ขอเพียงมิใช่คนโง่ อีกฝ่ายก็น่าจะทราบดี สวมรอยเป็นศิษย์ของหมอผี ทว่ากลับทำการรักษาไม่ได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
แต่ในอีกแง่หนึ่งแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้บอกเช่นกันว่าตัวเองเป็นศิษย์หมอผี หากแต่ถูกทางมณฑลจินโจวพบเข้าโดยบังเอิญ อีกฝ่ายไม่เคยยอมรับเลย
หรือว่าคิดจะอาศัยจุดนี้เป็นข้ออ้าง หากว่ารักษาไม่ได้ก็ค่อยบอกว่าข้าไม่เคยบอกว่าตนเองเป็นศิษย์ของหมอผีหรือเปล่า? หลีอู๋ฮวายิ้มหยันอยู่ในใจ ตามเข้าไปสังเกตการณ์ด้วย
“ท่านหมอหมิง เป็นเด็กคนนี้”
ไห่หรูเยวี่ยยื่นมือชี้ไปทางเซียวเทียนเจิ้นที่นั่งอยู่บนเตียง
เซียวเทียนเจิ้นท่าทางเฉยเมย คล้ายจะเคยชินกับการตรวจรักษาเช่นนี้แล้ว
ท่านหมอหมิงปลดหีบยาลงจากหลัง ม้านั่งตัวหนึ่งถูกจัดวางไว้ข้างเตียง จูซุ่นผายมือเชิญให้นั่ง
หมอหมิงลูบเคราพลางจ้องมองเซียวเทียนเจิ้นซ้ายทีขวาที จากนั้นนั่งลงแล้วเอ่ยว่า “ยื่นมือมา”
เซียวเทียนเจิ้นมองดูด้วยสายตาเฉยชา คล้ายอีกฝ่ายไม่ได้มารักษาให้ตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีท่าทีว่าจะยื่นมือออกมา เวลานี้ตัวเขาไม่มีความหวังใดๆ แล้ว
เป็นจูซุ่นที่ประคองเซียวเทียนเจิ้นให้นอนลง จับมือเขายื่นออกมาที่ขอบเตียง
ปลายนิ้วของหมอหมิงทาบลงบนข้อมือของเซียวเทียนเจิ้น มืออีกข้างลูบเคราไปด้วย ส่ายหน้าโคลงศีรษะเล็กน้อย หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง
ผ่านไปพักใหญ่ถึงจะได้ยินเขาพึมพำกับตัวเองว่า “เป็นลิขิตหยินกลืนชีพจรจริงๆ ด้วย…”
หลีอู๋ฮวาลอบดูแคลนอยู่ในใจ เรื่องที่เซียวเทียนเจิ้นป่วยเป็นโรคประหลาดอย่างลิขิตหยินกลืนชีพจรไม่ใช่ความลับอันใด
กลุ่มคนที่อยู่ด้านข้างมองดู ดวงตาของไห่หรูเยวี่ยโอบอุ้มความหวังไว้ ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเชิญหมอคนใดมา นางล้วนเป็นเช่นนี้เสมอ โอบอุ้มความหวังไว้ตลอด หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์
ส่วนท่านหมอหมิงคนนี้ก็ดูแตกต่างไปจากคนอื่นๆ จับชีพจรอยู่นาน จับจนสุดท้ายดูคล้ายว่าผล็อยหลับไปอย่างไรอย่างนั้น นั่งหลับตาไม่ขยับเขยื้อน
สุดท้ายแม้แต่เซียวเทียนเจิ้นที่นอนเฉยอยู่ก็อดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ ค่อยๆ หันไปมองหมอที่จับชีพจรให้เขาอยู่ท่านนี้
คนทั้งกลุ่มยืนเบิกตามองอยู่ด้านข้าง รอคอยอยู่พักใหญ่
ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็ม หมอหมิงถึงลืมตาขึ้นมา ยกนิ้วออกจากข้อมือของเซียวเทียนเจิ้น ตัวเขาก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน
ไห่หรูเยวี่ยรีบเอ่ยถาม “ท่านหมอหมิง เป็นอย่างไรบ้าง?”
หมอหมิงไม่ได้สนใจนาง หากแต่เอ่ยกับเซียวเทียนเจิ้นว่า “อ้าปากออก”
จูซุ่นรีบเอ่ยกับเซียวเทียนเจิ้น “คุณชาย อ้าปากหน่อยขอรับ”
เซียวเทียนเจิ้นค่อยๆ อ้าปาก
“อ้าปากแค่นี้จะรอกินนมหรือไร? อ้ากว้างๆ หน่อย” หมอหมิงเอ่ยติงเล็กน้อย
เซียวเทียนเจิ้นกลอกตาคราหนึ่ง อ้าปากให้กว้างขึ้นตามที่เขาบอก ผู้ใดจะทราบว่าอีกฝ่ายลงมือว่องไวนัก สองนิ้วจับปลายลิ้นเขา ดึงลิ้นเขาให้ยื่นออกมาด้านนอก ตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมา
เซียวเทียนเจิ้นถลึงตาจ้องมองเขา
หมอหมิงปล่อยลิ้นเขาออก จากนั้นตรวจดูเหงือกสองข้างของเขา ก่อนจะเดินไปที่ปลายเตียง ชี้ไปที่เท้าทั้งสองข้างของเซียวเทียนเจิ้น “มาตรงนี้คนหนึ่ง ถอดถุงเท้าของเขาออก”
จูซุ่นย่อมรีบเข้ามาจัดการตามที่สั่ง ถอดถุงเท้าของเซียวเทียนเจิ้นออก เผยให้เห็นเท้าที่เปลือยเปล่าทั้งสองข้าง
หมอหมิงยื่นมือไปยกฝ่าเท้าของเซียวเทียนเจิ้นขึ้นมาดูอย่างละเอียด ฝ่าเท้าของเซียวเทียนเจิ้นเองก็แตกต่างจากคนทั่วไปเช่นกัน มองเห็นเส้นเลือดชัดเจน
ว่ากันตามจริง แม้แต่ไห่หรูเยวี่ยเองก็ไม่ได้สังเกตดูฝ่าเท้าของบุตรชายอย่างละเอียดมานานหลายปีแล้ว ปกติแล้วหน้าที่ล้างเท้าให้บุตรชายก็ไม่ใช่งานของนางด้วย
ยามนี้พอได้เห็นใกล้ๆ ถึงได้พบว่าฝ่าเท้าของบุตรชายดูเหมือนจะต่างจากคนทั่วไป
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจกับการกระทำของหมอหมิง รวมถึงหลีอู๋ฮวาด้วย ต่างสังเกตเห็นว่าการตรวจโรคของหมอคนนี้แตกต่างจากหมอทั่วไป
แล้วก็เป็นเพราะความแตกต่างนี้ ทำให้ความหวังภายในใจของไห่หรูเยวี่ยเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
หลังจากตรวจฝ่าเท้าเสร็จ หมอหมิงก็ตรวจดูนิ้วเท้าของเซียวเทียนเจิ้นไล่ไปทีละนิ้ว พยักหน้าอย่างเงียบๆ ไม่หยุด คล้ายจะมองออกถึงอะไรบางอย่าง
เขาปล่อยเท้าของเซียวเทียนเจิ้นลง จากนั้นก็ไปคว้ามือของเซียวเทียนเจิ้นมาตรวจสอบฝ่ามือสองข้างต่อ ไล่ดูนิ้วมือไปทีละนิ้วๆ เช่นกัน
หลังจากปล่อยตัวเซียวเทียนเจิ้นจริงๆ แล้ว เขาลูบเคราพลางมองเซียวเทียนเจิ้น พยักหน้าอย่างจริงจัง ราวกับมีแผนการรักษาอยู่ในใจแล้ว
“ท่านหมอหมิง เป็นอย่างไรบ้าง?” ไห่หรูเยวี่ยถามอีกครั้ง
หมอหมิงหันมาเอ่ยว่า “ข้าไม่มีทางตรวจรักษาให้เปล่าๆ ตกลงเรื่องค่ารักษาก่อนแล้วค่อยพูดถึงเรื่องรักษา”
ไห่หรูเยวี่ยอดหันไปสบตากับหลีอู๋ฮวาไม่ได้ วาจาเช่นนี้กลับคล้ายกับหมอผีที่เล่าลือกัน
ว่ากันว่าเวลาหมอผีจะรักษาโรค หากเขายินดีจะรักษาให้แล้ว เขาก็จะตกลงราคากับเจ้าก่อน หากจ่ายไหว เขาจะรักษาให้ หากจ่ายไม่ไหว เขาก็ไม่รักษา
ส่วนคนที่จะให้รักษา มันก็ต้องดูด้วยว่าเขารู้สึกถูกชะตาหรือไม่ หากไม่ถูกชะตา ผู้ใดจะบังคับก็ไม่มีประโยชน์ ได้ยินว่าหนึ่งในเก้ายอดคนแห่งใต้หล้าเคยบังคับให้หมอผีรักษาผู้ป่วยคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็บังคับไม่สำเร็จ ไม่ว่าเจ้าจะป่วยเป็นโรคร้ายรักษายากอันใด ไม่ว่าต้องจ่ายค่ารักษาสูงแค่ไหน หากว่าถูกชะตา แค่หนึ่งเหรียญทองแดงก็ยอมรักษาให้แล้ว
ส่วนจะเรียกค่ารักษาเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของอีกฝ่าย บางครั้งแค่หนึ่งเหรียญทองแดงก็ยอมรักษาแล้ว แต่บางครั้งก็เรียกราคาแพงหูฉี่
หากเรียกค่ารักษาเป็นเงินยังพอจัดการได้ แต่ได้ยินว่าหมอผีมักจะเรียกค่ารักษาเป็นชีวิตอยู่บ่อยครั้ง ใช้ชีวิตแลกชีวิต!
และเนื่องด้วยเหตุนี้ น้อยนักที่จะมีคนกล้าไปหาเรื่องหมอผี หากล่วงเกินคนผู้นี้เข้า ก็ไม่รู้เลยว่าชีวิตเจ้าจะกลายเป็นค่ารักษาให้หมอผีไปวันไหน จู่ๆ ก็มียอดฝีมือโผล่มาตามไล่ล่าสังหารเจ้า!
ไห่หรูเยวี่ยลองเกริ่นถามดู “ไม่ทราบว่าท่านหมอหมิงต้องการค่ารักษาเท่าไร”
หมอหมิงชูนิ้วมือซ้ายขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “เรื่องที่ข้ารักษาห้ามมิให้บอกผู้ใด มิเช่นนั้นข้ารักษาให้หายได้ แต่ก็ทำให้ป่วยหนักขึ้นเป็นเท่าตัวได้เช่นกัน!”
ไห่หรูเยวี่ยรีบพยักหน้า หลายปีมานี้ทางนี้เองก็สืบเรื่องของหมอผีมาโดยตลอด กฎข้อนี้ของหมอผีนางเองก็ทราบเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าศิษย์ของหมอผีก็จะใช้กฎเดียวกันด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า