ตอนที่ 243 เรื่องเร่งด่วน
สุดท้าย ไห่หรูเยวี่ยก็จากไปด้วยความห่อเหี่ยวอยู่ลึกๆ
ภายในรถม้าที่ส่ายโคลงเคลง มือหนึ่งถือคันฉ่องส่องหน้า มืออีกข้างลูบไล้ใบหน้าของตนเบาๆ ค้นหาจุดบกพร่องบนใบหน้าของตนอย่างละเอียด
แก่แล้วหรือ? ไม่แก่เสียหน่อย! นางยืนยันได้จากเหล่าบุรุษรอบข้างที่มองตนด้วยสายตาแฝงนัยยะ สายตาแบบนั้นนางคุ้นเคยเป็นอย่างดี รู้ดีว่าบุรุษเหล่านั้นอยากจะทำอะไรกับตน นั่นคือความปรารถนาที่จะปลดเปลื้องร่างกายนางให้เปลือยเปล่า
แต่ไม่ว่าจะเป็นหยวนกังที่พูดจาเย็นชา หรือว่าหนิวโหย่วเต้าที่พูดจาปลิ้นปล้อน ในสายตาของทั้งสองกลับไม่มีสายตาที่นางปรารถนาจะเห็นเลย จุดนี้ทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
ถูกต้อง! ไม่มีความปรารถนาที่จะล่วงละเมิดนาง นี่กลับทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัย
นางวางคันฉ่องในมือลง มองออกไปนอกหน้าต่างของรถม้า ความกระวนกระวายใจในตอนที่เดินทางมาถึงที่นี่ยังคงไม่สงบลง หนิวโหย่วเต้าไม่ยอมรับว่าเป็นฝีมือของเขา
ตัวนางในยามนี้ ไม่ใช่เด็กสาวที่หลงรักซางเจี้ยนปั๋วอย่างแทบเป็นแทบตายเหมือนอย่างในกาลก่อนแล้ว นางไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีการช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่ เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน นางมักจะรู้สึกว่ามีหลุมดำขนาดใหญ่หลุมหนึ่งอยู่ด้านหลังตน ราวกับพร้อมจะดูดกลืนตนเข้าไปทุกเมื่อ
…..
เมื่อส่งแขกจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้ากลับมา เห็นกงซุนปู้ยืนอยู่นอกกระท่อม
“มีธุระใดหรือ?” หนิวโหย่วเต้าถามด้วยรอยยิ้ม
กงซุนปู้เอ่ยถาม “ยังไม่มีข่าวของลู่เซิ่งจงหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หากไม่ถูกเซ่าผิงปอสังหาร ก็อาจจะสวามิภักดิ์ต่อเซ่าผิงปอไปแล้ว สรุปคือเซ่าผิงปอไม่มีทางปล่อยเขากลับมาอีก”
พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ สีหน้าเขาก็เคร่งขรึมเล็กน้อย หลังจากคิดทบทวนเรื่องราวดู บางทีการตัดสินใจของตนอาจจะทำให้พลาดโอกาสสุดท้ายที่จะยื้อตัวลู่เซิ่งจงกลับมาแล้วก็เป็นได้
เขาไม่ควรสั่งระงับการเดินทางของคนที่ทั้งสามสำนักส่งไปรับตัวลู่เซิ่งจงที่แคว้นซ่งเลย เมื่อเซ่าผิงปอไม่พบตัวคนที่ไปรอรับ ก็คงจะรู้ว่าความแตกแล้ว แล้วก็ไม่มีทางปล่อยลู่เซิ่งจงกลับมาอีก ไม่อย่างนั้นบางทีเซ่าผิงปออาจจะส่งตัวลู่เซิ่งจงกลับมาเป็นหนอนบ่อนไส้ก็ได้
กงซุนปู้เอ่ยสั้นๆ “ตายไปนั่นแหละดีแล้ว”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มนิดๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
……
ช่วงกลางฤดูร้อนมาเยือนอีกครั้ง พริบตาเดียวก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว
ภายใต้ธารน้ำตกที่ไหลซัดสาดลงมาจากบนหน้าผา บนก้อนหินที่อยู่ใต้น้ำตก เงาร่างคนผู้หนึ่งยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในม่านน้ำตก
เฮยหมู่ตานทะยานเข้ามา ร้องเรียก “เต้าเหยี่ย!”
เงาร่างที่อยู่ในม่านน้ำตกพลันเคลื่อนไหว ดีดตัวขึ้นไปตามกระแสน้ำที่ไหลซัดสาดลงมา
เขาพุ่งย้อนขึ้นไป รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีละอองน้ำที่ผิดปกติใดๆ สาดกระเซ็นออกมาแม้แต่น้อย
คนผู้นั้นชักกระบี่ออกมาท่ามกลางม่านน้ำตก ตูม! ด้านบนของน้ำตกมีละอองน้ำระเบิดออก ละอองน้ำสาดกระเซ็น คนผู้หนึ่งกุมกระบี่ชี้ขึ้นฟ้า พุ่งออกมาจากกระแสน้ำ
เขาตีลังกากลางอากาศ กระบี่ยาวสอดกลับเข้าฝัก ตัวคนพลิกเปลี่ยนทิศทาง เหินทะยานลงสู่ด้านล่าง ร่อนลงข้างกายเฮยหมู่ตาน
เฮยหมู่ตานตะลึงงัน กระแสน้ำไหลบ่าลงมารุนแรงเช่นนี้ เหตุใดถึงรู้สึกคล้ายไม่มีแรงต้านอันใดต่อคนผู้นี้เลย?
ไอน้ำระเหยออกมาจากร่าง หนิวโหย่วเต้าค้ำกระบี่ลงบนพื้น เอ่ยถามว่า “มีอะไร?”
เฮยหมู่ตานรายงานว่า “เรื่องที่ท่านบอกข้าไปสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ หาใช่สายสืบอันใดไม่ หากแต่เป็นเพราะว่าตอนนี้ประชากรของจังหวัดชิงซานเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างฉับพลัน พ่อค้าวาณิชมารวมตัวกัน ที่นี่ก็นับว่าอยู่ไม่ไกลจากตัวจังหวัด จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนพลัดหลงเข้ามาบ้าง ท่านอ๋องทราบว่าเป็นการรบกวนการบำเพ็ญเพียรของเต้าเหยี่ย จึงสั่งให้คนเร่งทำป้ายศิลาห้ามผ่านทาง ประเดี๋ยวจะให้คนนำไปติดตั้งรอบๆ เจ้าค่ะ”
อย่างนี้นี่เอง! หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ก่อนหน้านี้ได้ยินหยวนกังเอ่ยถึงเรื่องนี้ บอกว่ามักจะมีคนพยายามล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่นี้อยู่บ่อยครั้ง เขาจึงให้ไปสอบถามดูสักหน่อย
“ฟังจากที่เจ้าว่ามาเช่นนี้ ตอนนี้จังหวัดชิงซานรุ่งเรืองเป็นอย่างมากใช่หรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม
“รุ่งเรืองเจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานพยักหน้ารับ “รุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เทียบกับปีก่อนแล้วต่างกันราวฟ้ากับดินเลยเจ้าค่ะ”
“หลังจากท่านอ๋องใช้ระเบียบการปกครองรูปแบบใหม่ ชาวบ้านทั่วทุกสารทิศได้ยินข่าวก็หลั่งไหลกันเข้ามา ประชากรในสองจังหวัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงเจ็ดแปดเท่า พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ในจังหวัดชิงซานที่ถูกปล่อยร้างในกาลก่อนได้รับการปรับปรุง ท่านอ๋องจัดสรรให้ผู้อพยพเข้าอยู่อาศัย เรียกได้ว่าให้ผู้อพยพได้ตั้งถิ่นฐานในสองจังหวัดอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่จะจัดสรรที่นาเท่านั้นนะเจ้าคะ แต่ยังออกงบประมาณพิเศษหนึ่งแสนเหรียญทอง รับสมัครบัณฑิตจำนวนมากเข้ามาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ จัดตั้งโรงเรียนให้ความรู้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามพื้นที่ต่างๆ ในสองจังหวัด ให้ผู้อพยพที่มีที่นาเพาะปลูก ให้ลูกหลานของผู้อพยพได้เรียนหนังสือ ยามนี้พื้นที่รอบๆ ที่นาและโรงเรียนกำลังก่อตัวขึ้นเป็นหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว จากที่หลานรั่วถิงว่ามา ขอเพียงทรัพย์สมบัติของครอบครัวอยู่ที่นี่ หากไม่ถูกบีบคั้นจนถึงที่สุด ผู้อพยพเหล่านี้ก็ไม่มีทางที่จะย้ายออกไปจากสองจังหวัดนี้ง่ายๆ เจ้าค่ะ”
“และเมื่อมีประชากรมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ประกอบกับภาษีการค้าที่ลดลง ทำให้ดึงดูดพ่อค้าวาณิชจากทั่วทิศให้มาชุมนุมกัน พ่อค้าที่เข้ามาก็ได้จ้างวานผู้อพยพจำนวนมากให้ทำงานให้ จังหวัดชิงซานในปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปจากวันวานอย่างแท้จริง ในเมืองคึกคักมากเจ้าค่ะ แต่ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน คนเยอะเกินไป พื้นที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งพ่อค้าเหล่านั้นก็มีข้อเรียกร้อง ท่านหลานกำลังเจรจากับพ่อค้าเหล่านั้นอยู่เจ้าค่ะ”
“เจรจาหรือ?” หนิวโหย่วเต้ามึนงงไปเล็กน้อย “เจรจาอะไร?”
เฮยหมู่ตานตอบว่า “ท่านอ๋องเตรียมจะทำให้ตัวเมืองในตอนนี้กลายเป็นเมืองชั้นในเจ้าค่ะ ทำให้เมืองชั้นในกลายเป็นศูนย์กลาง จากนั้นขยายเมืองออกไปในรัศมีห้าลี้ แล้วค่อยสร้างเมืองชั้นนอกขึ้นมาอีกชั้นนึงเจ้าค่ะ”
ขยายออกไปห้าลี้อย่างนั้นเหรอ? หนิวโหย่วเต้าแปลกใจเล็กน้อย “เขาไปเอาทุนทรัพย์มากขนาดนั้นมาจากไหน?”
เฮยหมู่ตานตอบว่า “ดังนั้นท่านหลานถึงต้องไปเจรจากับพ่อค้าเหล่านั้นเจ้าค่ะ เตรียมจะจัดสรรที่ดินในเขตเมืองชั้นนอกให้พ่อค้าเหล่านั้นสร้างร้านได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่เงื่อนไขคือพ่อค้าเหล่านั้นต้องออกเงินลงขันสร้างกำแพงเมืองของเมืองชั้นนอก โดยขนาดของที่ดินที่จะได้รับการละเว้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจะอ้างอิงจากความยาวของกำแพงเมืองที่สร้าง เช่นนี้ผู้อพยพที่ยังไม่สามารถลงหลักปักฐานได้ในระยะเวลาสั้นๆ เหล่านั้นก็จะมีงานทำหาเลี้ยงจุนเจือครอบครัวได้ ได้ยินว่าเจรจาไปพอสมควรแล้วเจ้าค่ะ แต่ยังมีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์บางอย่างที่ยังอยู่ระหว่างเจรจาตกลง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า