ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 253

ตอนที่ 253 มีคนจ้องจะลงมือกับหนิวโหย่วเต้า

ภายในป่ามีเสียงเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเล็กน้อย เสียง ‘ฟุบ’ ดังขึ้น แว่วมาจากหน้าไม้ที่อยู่ในมือของหยวนหั่ว ไก่ฟ้าตัวหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นไม้บนเนินเขาบินโผออกมา จากนั้นร่วงลงพื้นอีกครั้ง

หลังกวาดสายตามองไปมาเล็กน้อย ทั้งคณะก็ออกเดินทางต่อโดยไม่หยุดชะงักใดๆ

หยวนกังคอยเปิดทางอยู่ด้านหน้า ทั้งสี่เฝ้าระวังรอบข้าง เสียงฝีเท้าม้าดังหนักแน่น มุ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าเขา

หน้าไม้ที่ทั้งสี่ถืออยู่ในมือออกแบบโดยหยวนกัง สามารถประกอบรวม แล้วก็สามารถถอดแยกชิ้นส่วนได้ ชิ้นส่วนในการประกอบถูกสร้างขึ้นโดยกงซุนเถี่ยหนิว

เดิมทีกงซุนเถี่ยหนิวไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้เลย มอบหมายให้ศิษย์ของตนเป็นคนทำงานนี้แทน ผู้ใดจะรู้ว่าศิษย์ของเขากลับทำให้สำเร็จไม่ได้ พูดให้ถูกคือตอบสนองความต้องการของหยวนกังไม่ได้ เนื่องจากความต้องการของหยวนกังสูงเกินไป

หยวนกังทราบดีว่าคนที่ตนฝึกฝนอยู่กลุ่มนี้จะถูกนำไปใช้ทำงานอะไร บางครั้งในเรื่องของอาวุธจำเป็นต้องใช้อาวุธที่พกพาและเก็บซ่อนได้สะดวกเป็นพิเศษ บางครั้งเวลาต้องเข้าออกสถานที่บางแห่ง ถึงขนาดที่ต้องทำให้คนมองไม่ออกด้วยว่าเป็นอาวุธ มิเช่นนั้นหากแบกอาวุธเข้าไปโทงๆ เผลอๆ กระทั่งเมืองบางแห่งก็ยังผ่านเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

ดังนั้นเขาจึงต้องการหน้าไม้ที่ถอดแยกส่วนได้ตลอดเวลา สะดวกในการเก็บซ่อนและพกพา อีกทั้งเมื่อประสบกับสถานการณ์ที่หน้าไม้ได้รับความเสียหายก็ต้องการให้ปรับเปลี่ยนไปใช้เสริมกับหน้าไม้คันอื่นได้ตลอดเวลา นี่ก็เท่ากับว่าขนาดชิ้นส่วนของหน้าไม้ต้องมีขนาดที่ได้มาตรฐานเท่ากันทั้งหมด

สำหรับช่างตีเหล็กที่ต้องขึ้นรูปด้วยมือแล้ว ข้อเรียกร้องนี้ยากเกินไป ชิ้นส่วนที่ผลิตออกมาถูกหยวนกังปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายกงซุนเถี่ยหนิวจึงต้องลงมือด้วยตัวเอง อาศัยทักษะฝีมืออันล้ำเลิศ ถึงได้ตอบสนองความต้องการหยวนกังได้

เดิมทีกงซุนเถี่ยหนิวคิดว่าหยวนกังจงใจหาเรื่องอยู่ จึงโมโหขึ้นมา ไล่หยวนกังออกไป หยวนกังจึงไปขอให้เหมิงซานหมิงช่วยออกหน้า ถึงได้เกลี้ยกล่อมให้กงซุนเถี่ยหนิวยอมลงมือได้

แต่ความเร็วในการสร้างกลับไม่อาจเร่งได้ คนอื่นๆ ทำไม่ไหว อาศัยแค่กงซุนเถี่ยหนิวเพียงคนเดียว จะสร้างได้เร็วแค่ไหน เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว

เวลาผ่านมาปีกว่า กงซุนเถี่ยหนิวเพิ่งผลิตชิ้นส่วนของหน้าไม้ให้หยวนกังได้แค่ไม่กี่สิบคันเท่านั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังเติมเต็มความต้องการของหยวนกังที่อยากให้จัดเตรียมหน้าไม้สำหรับคนสองถึงสามร้อยคนไม่ได้

แรกเริ่มหยวนกังคิดจะสร้างปืนจำนวนหนึ่งขึ้น ไม่ใช่แบบที่ใช้กันในยุคนี้ หากแต่เป็นปืนแบบที่เขาใช้อย่างคล่องแคล่วในชาติก่อน

ผลคือกระทั่งจะผลิตหน้าไม้ให้ได้มาตรฐานเดียวกันทั้งหมดก็ยังเป็นปัญหา ยิ่งไม่ต้องคาดหวังกับปืนที่เขาต้องการสร้างขึ้นมาเลย

อาศัยความเชี่ยวชาญของเขาที่มีต่อองค์ประกอบของปืน ผนวกเข้ากับทักษะของกงซุนเถี่ยหนิวแล้ว น่าจะสร้างปืนสักกระบอกได้ไม่มีปัญหา แต่ลูกกระสุนกลับเป็นปัญหาใหญ่ การผลิตลูกกระสุนนั้นต้องการมาตรฐานและความแม่นยำที่สูงยิ่งกว่าปืน หากว่าสร้างออกมาแล้วขนาดไม่ได้มาตรฐานเท่ากัน เกิดยิงออกไปแล้วระเบิดขึ้นมา นอกจากจะฆ่าคนอื่นไม่ได้แล้ว เผลอๆ อาจตายเองด้วย อีกทั้งองค์ประกอบในด้านเชื้อปะทุของกระสุนนั้นยิ่งต้องมีความละเอียดแม่นยำ ทำให้เขายิ่งไม่ตั้งความหวังเข้าไปอีก หากยิงออกไปสองนัดแล้วมีนัดหนึ่งด้าน ในช่วงเวลาสำคัญ เหตุการณ์เช่นนั้นถือเป็นเรื่องร้ายแรง หากเป็นแบบนั้นสู้ถือมีดหั่นผักเอาไว้ดีกว่า

เขาย่อมต้องรู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน แต่เขาไม่เชี่ยวชาญในด้านการผลิตเชิงอุตสาหกรรมเลย เต้าเหยี่ยเองก็ไม่เชี่ยวชาญในด้านการผลิตเชิงอุตสาหกรรมเหมือนกัน ถึงแม้จะรู้ว่าควรลงมือจากส่วนไหน แต่ถ้าต้องการแก้ไข เขาก็จำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าอีกนาน

ดังนั้นสำหรับความคิดที่ทำให้เป็นจริงไม่ได้บางอย่างแล้ว เขาจึงทำได้เพียงล้มเลิกไปก่อน

ส่วนในด้านการฝึกขี่ม้าศึก หยวนกังไปขอคำแนะนำจากเหมิงซานหมิง

ชาติก่อนเขาก็ขี่ม้าเป็น แต่ทักษะยังไม่ถึงขั้นที่จะนำมาใช้สู้รบฆ่าฟันบนหลังม้าได้ ในเรื่องของเทคนิคไม่อาจเทียบทหารม้าของยุคนี้ได้ เขาทราบถึงความสำคัญของการบังคับม้าศึกในยุคสมัยนี้ดี ขับรถยนต์ไม่เป็น ขับเครื่องบินไม่เป็นหรือขับรถถังไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แต่การบังคับม้าศึกจะต้องชำนาญ ดังนั้นเขาจึงต้องไปหาเหมิงซานหมิงเพื่อขอคำแนะนำอีกครั้ง

คนที่สามารถฝึกฝนกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญจนเป็นที่หวั่นเกรงไปทั่วหล้าได้ย่อมต้องมีวิธีในการฝึกขี่ม้าแน่นอน ซึ่งความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคิดถูกต้อง เหมิงซานหมิงมีส่วนช่วยเหลือเขาเป็นอย่างมาก เปิดโลกทัศน์ให้เขา เสริมจุดอ่อนที่เขาขาดไปได้

ระยะเวลาปีกว่านี้ เขาใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ทุกวัน หรือก็คือสิ่งที่เขาเรียกว่าใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย จะให้เขาเอาแต่นั่งทำสมาธิอยู่ในห้องคนเดียวทั้งวันเหมือนอย่างหนิวโหย่วเต้า ในมุมมองของเขาแล้ว เขายากจะชินได้!

ในแถบพื้นที่ป่าเขาระยะทางสิบกว่าลี้ ม้าห้าตัวทะยานไปอย่างรวดเร็ว คลายการเฝ้าระวังแล้ว มุ่งหน้าต่อไปภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง

….

ณ จุดพักม้าที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็น กลุ่มของหนิวโหย่วเต้าเดินทางมาถึง ลงจากหลังม้า มีคนเข้ามารับม้าไปดูแล

เมื่อทั้งกลุ่มเช่าห้องพักผ่อน อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย สองพี่น้องร่วมสาบานก็นั่งกินข้าวด้วยกัน

“เฮ้อ น้องหนิว กินดื่มอยู่ที่บ้านเจ้าตั้งหลายวัน พอมากินของพวกนี้แล้ว นี่มันใช่สิ่งที่มนุษย์กินกันจริงๆ หรือ?” ลิ่งหูชิววางจอกสุราลงพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ก็พอใช้ได้ พี่ลิ่งหูก็จุกจิกเกินไป”

ลิ่งหูชิวกลอกตาทีหนึ่ง “ข้าจุกจิก? ดูอาหารที่บ้านเจ้ากินกันซิ เป็นผู้ใดที่จุกจิกกันแน่? คาดว่าทั่วหล้านี้คงหาคนที่จุกจิกเหมือนเจ้าไม่ได้แล้ว! เอาอย่างนี้ไหม เจ้าถ่ายทอดวิธีทำอาหารเหล่านั้นให้หงซิ่วกับหงฝูดีไหม?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ใช่ว่าข้าไม่อยากสอน แต่ตอนอยู่ที่บ้านข้าพี่ลิ่งหูเองก็เห็นแล้ว ในพื้นที่ห้องครัวเหล่านั้นแขวนป้าย ‘วัดหนานซาน’ เอาไว้ นั่นเป็นสูตรเฉพาะของทางวัดหนานซาน ไม่สะดวกจะแพร่งพรายต่อภายนอก ไม่ยอมให้ใครเข้าไปดูด้วยซ้ำ ข้าเองก็ไม่สะดวกจะไปทำลายกฎเกณฑ์ของเขาเช่นกัน ต้องการใช้เขาทำงานให้ ก็ต้องให้เกียรติเขาบ้างมิใช่หรือ?”

หลังจากทำหมูตุ๋นน้ำแดงแล้วเจอเซ่าผิงปอ เวลาออกมาด้านนอกเขาก็ไม่เผยทักษะง่ายๆ อีก ยิ่งไปกว่านั้นคือเขารับปากหยวนฟางเอาไว้ว่าจะไม่เที่ยวถ่ายทอดให้คนอื่นส่งเดช ส่วนกลุ่มเด็กหนุ่มที่หยวนกังฝึกสอนเหล่านั้น เขาจัดการไม่ได้ หยวนฟางก็ยิ่งจัดการหยวนกังไม่ได้ หากหยวนกังยอมฟังหยวนฟางสิแปลก เมื่อเผชิญหน้ากับหยวนกัง หยวนฟางจึงทำได้เพียงไปแอบต่อว่าอย่างเงียบๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า