ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 255

ตอนที่ 255 หอไร้ขอบเขต

สีสันเรียบง่ายธรรมดา สถานที่เปล่าเปลี่ยวรกร้างนัก ทว่ากลับทำให้กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความมั่นใจว่าตนสามารถตะลุยไปทั่วหล้ารับรู้ได้ถึงความเล็กจ้อยของตนเอง

ทั้งกลุ่มสบตากันพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นพากันย่อตัวกระโดดออกไป

สายลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู ทั้งกลุ่มเหินร่อนลงมาจากยอดเขาเป็นกลุ่มก้อน ราวกับมดที่บินอยู่กลางอากาศ ร่อนลงบนเนินทรายแห่งหนึ่ง จากนั้นพุ่งตัวทะยานออกไปอีกครั้ง

ทั้งกลุ่มทะยานขึ้นลงอยู่กลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างต่อเนื่อง มุ่งหน้าสู่ส่วนลึกของทะเลทรายอย่างรวดเร็ว

สองชั่วยามต่อมา ลิ่งหูชิวยกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย “ไม่ต้องรีบร้อนไป ทุกคนพักสักหน่อยเถอะ ฟื้นพลังกันหน่อย อย่าปล่อยให้เสียพลังมากเกินไป มิเช่นนั้นหากเผชิญปัญหาขึ้นมาเกรงว่าคงยากจะรับมือได้”

ที่เป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เขาทราบดี มีคนจับตามองหนิวโหย่วเต้าอยู่ ปลอดภัยไว้ก่อน เผื่อไว้สำหรับเหตุไม่คาดฝัน

ตอนนี้มีเพียงเขาและสาวใช้ทั้งสองที่มีสภาวะระดับโอสถทอง ส่วนทางหนิวโหย่วเต้าล้วนมีสภาวะระดับสร้างฐานกันทั้งสิ้น

ลิ่งหูชิวหยิบถุงน้ำหนังแกะมาถือ ส่งสัญญาณให้สองสาวใช้ระวังภัยไว้ ส่วนตนก็เปิดจุกถุงแล้วค่อยๆ ดื่มน้ำ

พวกหนิวโหย่วเต้าก็ทยอยหยิบถุงน้ำออกมาดื่มน้ำเช่นกัน ขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบๆ

นอกจากท้องฟ้าสีคราม มวลหมู่เมฆสีขาวและเนินทรายแล้ว รอบข้างมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ว่างเปล่าวังเวง มีเพียงสายลมที่พัดโชยมาเป็นครั้งคราว ทำให้เม็ดทรายที่อยู่บนเนินทรายไหลกลิ้งไปมา

“พวกเจ้าเคยมาเยือนหอไร้ขอบเขตหรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าที่วางถุงน้ำลงเอ่ยถามเฮยหมู่ตานและต้วนหู่

ทั้งสองพยักหน้ารับ เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “พวกเราเคยมาด้วยกันสามครั้งแล้วเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้านิดๆ

จากนั้นทั้งสามคนล้วนทยอยนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นทรายอันร้อนระอุ นำโอสถวิญญาณออกมากิน ปรับลมปราณฟื้นฟูพลัง

ลิ่งหูชิวก็ทำแบบนี้เช่นกัน ส่วนหงซิ่วและหงฝูเฝ้าระวังรอบข้างอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของทุกคน

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม มีเสียงเคลื่อนไหวแปลกประหลาดแว่วเข้ามา ทุกคนที่นั่งสมาธิอยู่พากันลืมตาขึ้น ลุกขึ้นแล้วหันหน้ามองไปบนเนินทรายที่อยู่ไม่ไกลทางด้านข้าง เห็นแมงป่องสีดินเหลืองรูปร่างใหญ่โตห้าตัวกำลังสะบัดหัวส่ายหางอยู่บนเนินทราย

หนิวโหย่วเต้าเคยอ่านเจอใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ เจ้าสิ่งนี้มีนามว่าแมงป่องทราย เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายผืนนี้ เคลื่อนไหวในทะเลทรายได้ดุจสายลม ปีนป่ายคืบคลานรวดเร็ว เปลือกหุ้มแข็งแกร่ง พิษที่ปลายหางเป็นพิษร้ายแรง สัมผัสเพียงนิดเดียวก็สามารถคร่าชีวิตได้ พลังโจมตีรุนแรง แต่มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมันกลัวน้ำ!

ได้ยินว่าทันทีที่เปลือกหุ้มของแมงป่องทรายสัมผัสเข้ากับน้ำ เปลือกของมันจะอ่อนยวบลงทันที ดังนั้นมันจึงหวาดกลัวน้ำ

แม้ว่าจะเคยอ่านเจอมาแล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแมงป่องที่มีรูปร่างใหญ่โตเช่นนี้ ทั่วทั้งร่างนอกจากดวงตาที่เป็นสีขาวหม่นแล้ว ส่วนอื่นๆ ของมันล้วนเป็นสีเดียวกับสีพื้นทราย นี่ถ้าแอบซ่อนตัวอยู่ในทะเลทรายล่ะก็ เกรงว่าคงมองออกได้ยาก

ได้ยินว่าแมงป่องทรายที่โตเต็มวัย ต่อให้ไม่นับรวมหางของมัน ร่างกายของมันก็ยังยาวได้ถึงหนึ่งจั้งกว่า

แมงป่องทรายห้าตัวส่ายหางไปมาอย่างรุนแรง ราวกับกำลังส่งสัญญาณโจมตี ไถลตัวลงมาจากเนินทรายดังซ่าๆ

ถูกต้อง มันไม่ได้วิ่งลงมา หากแต่อาศัยโครงสร้างพิเศษตรงส่วนหน้าท้อง ไถลตัวลงมาราวกับแผ่นกระดาน อีกทั้งขาของมันยังสามารถเร่งความเร็วต่างไม้พายได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือยามที่ส่วนท้องสัมผัสพื้น มันสามารถไถลได้ ยามที่ส่วนท้องยกขึ้นจากพื้นก็สามารถกระโดดได้ ทันทีที่ดีดขา มันก็สามารถดีดตัวออกจากเนินทราย กระโจนเข้ามาหาได้

หงซิ่วและหงฝูพลิกตวัดฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง ซัดฝ่ามือส่งพลังแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว ซัดแมงป่องทรายที่กระโจนเข้ามาจนกระเด็นออกไป

แมงป่องทรายห้าตัวไม่สามารถเข้าใกล้เนินทรายทางฝั่งนี้ได้เลย ทว่าพวกมันไม่ยอมถอดใจ พุ่งขึ้นมาจากพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปกุมด้ามกระบี่

ลิ่งหูชิวที่สังเกตเห็นก็รีบยื่นมือออกมาปราม เอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าสังหารพวกมันไม่ได้ แต่สัตว์ประหลาดเหล่านี้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของทะเลทรายมานานแล้ว เพื่อให้ได้อาหารจากสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเช่นนี้ ประสาทการรับกลิ่นของพวกมันจึงเฉียบไวมาโดยกำเนิด ทันทีที่ได้กลิ่นคาวเลือด แมงป่องทรายที่อยู่ในรัศมีร้อยลี้อาจจะพากันแห่มากันหมด สัตว์ชนิดนี้มีอยู่ทั่วทะเลทรายแห่งนี้ จำนวนน้อยๆ ยังพอจัดการได้ แต่หากกรูกันมาจากทั่วสารทิศจนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด นั่นก็เท่ากับตกอยู่กลางวงล้อมของกองทัพขนาดใหญ่ สังหารไม่หมดไม่สิ้น ยิ่งฆ่ายิ่งเยอะ หากไม่ระวังอาจจะพลาดท่าได้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเรามีแต่ต้องหนีเท่านั้น ดังนั้นจึงทำได้เพียงโจมตีมันจนมันยอมล่าถอยไปเอง จะสังหารไม่ได้ เดี๋ยวพอพวกมันทนไม่ไหว พวกมันก็จะถอยไปเอง”

ข้อมูลส่วนนี้หนิวโหย่วเต้าทราบดี เขาเคยอ่านพบใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ มาแล้ว ที่ถือกระบี่ไว้ก็แค่เผื่อป้องกันเหตุเหนือความคาดหมายเท่านั้น

“ได้ยินว่าใต้ทะเลทรายผืนนี้มีเมืองโบราณอยู่แห่งหนึ่งหรือ?” หนิวโหย่วเต้าถาม

ลิ่งหูชิวพยักหน้า “เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ว่ากันว่าในอดีตนานเมื่อมาแล้ว ที่นี่คือสถานที่เขียวขจีชุ่มน้ำ ต่อมาฟ้าดินเกิดความเปลี่ยนแปลง ทรายเหลืองเข้าปกคลุมทับถมสถานที่แห่งนี้ เมืองโบราณแห่งนั้นก็ถูกฝังทับอยู่ข้างใต้ด้วยเช่นกัน มีคนบังเอิญพบเมืองโบราณแห่งนั้นโดยบังเอิญบ้าง แต่ต่อให้บังเอิญพบเข้าก็ไม่มีประโยชน์”

ราวกับเป็นการยืนยันคำพูดให้ลิ่งหูชิว แมงป่องทรายห้าตัวนั้นถูกโจมตีจนหมดความอดทน พอเห็นว่าสุดท้ายไม่สามารถทำอะไรทางนี้ได้เลย ในที่สุดพวกมันก็พากันบ่ายหน้าจากไป หายลับไปจากทัศนวิสัยของทุกคนอย่างรวดเร็ว

ทุกคนทำสิ่งที่สมควรทำกันต่อไป ลิ่งหูชิวยืนขึ้น สลับให้หงซิ่วและหงฝูได้ฟื้นฟูลมปราณบ้าง

ลิ่งหูชิวยกมือไพล่หลัง สายตาทอดมองออกไป เห็นเงาคนโฉบผ่านไปมาอยู่ไกลๆ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร จะต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มายังหอไร้ขอบเขตแน่นอน

ทั้งกลุ่มออกเดินทางอีกครั้ง ระหว่างทางพักผ่อนแค่ครั้งนี้ก็เพียงพอแล้ว ต่อจากนี้จะมุ่งตรงไปยังหอไร้ขอบเขต

ภูเขาหินสีดำใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทะเลทราย บนยอดเขามีทะเลสาบน้อยใหญ่หลายแห่ง ดูคล้ายไข่มุกเม็ดน้อยเม็ดใหญ่ที่วางรวมอยู่ในจานใบหนึ่ง สะท้อนภาพท้องฟ้าสีครามและมวลหมู่เมฆสีขาว ดูแล้วสดชื่นผ่อนคลาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า