ตอนที่ 26 สวัสดี
หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังเพิ่งพบหน้ากัน มีเรื่องให้พูดคุยกันมากมาย จึงรั้งท้ายตามอยู่ด้านหลังขบวน
ด้านหน้า ซางเฉาจงบังเอิญได้ยินซางซูชิงยังคงพึมพำคำว่า ‘เครื่องบินรถถัง’ อยู่ จึงหันกลับไปมองสองคนนั้นที่อยู่ห่างไปทางด้านหลัง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขาไม่ยอมพูด ชิงเอ๋อร์ยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่อีกหรือ? เช่นนั้นก่อนหน้านี้ไยจึงไม่ซักไซ้ไล่ถามให้รู้เรื่องเล่า?”
ซางซูชิงอยู่ภายใต้หมวกม่านแพร จึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง “ก็คนเขาไม่ยอมพูด แต่ข้ารู้สึกว่าหนิวโหย่วเต้าคนนั้นก็มิใช่คนพูดจาเหลวไหลส่งเดช คำพูดที่เผลอพูดออกมาตามใจคิดครั้งนี้ทำให้ข้ารู้สึกแปลกๆ ข้ารู้สึกเหมือนว่าคำพูดที่กล่าวโดยไม่ตั้งใจของเขานั้นมิคล้ายเป็นการหลุดปาก หากแต่ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่เขาคร้านจะปิดบังพวกเรา ส่วนสายตาที่หยวนกังผู้นั้นมองดูพวกเราก็แฝงความดูแคลนเอาไว้”
ซางเฉาจงเอ่ยด้วยความฉงน “ชิงเอ๋อร์ วาจานี้ของเจ้าขัดแย้งกันเองนะ เหตุใดข้าฟังแล้วค่อนข้างสับสนเล่า?”
ซางซูชิงเอ่ยว่า “ข้าก็บอกไม่ถูกเช่นกัน คล้ายว่าพวกเขากำลังดูแคลนพวกเราอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนว่าพลั้งปากพูดแล้วก็พูดไป ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี ในแง่หนึ่งแล้ว เหมือนพวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือกว่าเวลาที่เผชิญหน้ากับพวกเรา”
ซางเฉาจงร้องเฮอะ “อาจเพราะคิดว่าตนเป็นฝ่าซือ ในสายตาพวกเขาพวกเราคงเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนกระมัง”
“อาจจะใช่!” ซางซูชิงเอ่ยงึมงำ หันไปถามอีกครั้งว่า “ท่านอาจารย์หลาน ท่านคิดว่าการที่ตอนแรกเขารับปากจะไปที่หมู่บ้านกับเรา แต่จู่ๆ มาปฏิเสธทีหลังหมายความว่าอย่างไร?”
หลานรั่วถิงกล่าวว่า “คงต้องการปกป้องชาวบ้านกระมัง หยวนกังคนนี้อาจจะไม่อยากให้พวกเราไปเจอชาวบ้านจริงๆ”
ซางเฉาจงกล่าวเสริม “รู้สถานที่แล้ว หากอยากกลับมาตรวจสอบก็มิใช่เรื่องยากแล้วมิใช่หรือ?”
หลานรั่วถิงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านอ๋องยังมองไม่ออกหรือ? หากในหุบเขามีหมู่บ้านอันใดอยู่จริง หมู่บ้านนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จากเสียงผิวปากนั่นก็พอจะฟังออกแล้วว่าในหมู่บ้านแห่งนี้มีมาตรการป้องกันตัวที่เข้มงวด เกรงว่าทันทีที่คนนอกเข้าใกล้ คนในหมู่บ้านคงระวังตัวแจ บางทีอาจเป็นอย่างที่พวกเขาว่าจริงๆ ถูกทหารปล้นสะดมจนหวาดผวา”
ขบวนพ้นจากทางเดินเล็กๆ ควบม้าไปตามทางหลวงต่อ
หนิวโหย่วเต้าขี่ม้าเคียงคู่หยวนกังอยู่ด้านหลัง แต่ละคนบอกเล่าสถานการณ์ในหลายปีมานี้ของตัวเอง ได้พบกันอีกครั้งช่างน่ายินดี รั้งท้ายขบวนรมฝุ่นควันก็ไม่เป็นไร
สำหรับหยวนกัง หนิวโหย่วเต้าไม่อำพรางปิดบังเรื่องใด ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในวัดร้างและได้พบตงกัวเฮ่าหราน ตลอดจนเหตุการณ์ที่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาครั้งนี้ก็ล้วนแต่บอกเล่าไปตามจริง แม้แต่เรื่องที่ค้นพบ ‘เคล็ดวิชามหาจักรวาล’ ในคันฉ่องก็ไม่ปิดบัง
หยวนกังไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะถูกกักบริเวณถึงห้าปี “เต้าเหยี่ย ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่ามา แปลว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คิดจะทำร้ายคุณ?”
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วน ดูจากเบาะแสต่างๆ อีกทั้งคำเตือนจากถูฮั่นคนนั้น พวกเขาคงอยากส่งฉันไปปรโลกก่อนกำหนด ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำอะไรให้พวกเขาโกรธเข้า ฉันก็ไม่ได้มีพิษมีภัยกับพวกเขา ทำไมถึงไม่เลิกยุ่งกับฉันสักที เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่เข้าใจ”
หยวนกังเอ่ยว่า “ตอนอยู่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเขาสามารถลงมือได้สบาย ทำไมต้องถ่วงเวลามาถึงตอนนี้ด้วยล่ะ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “เรื่องนี้ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
หยวนกังถาม “เต้าเหยี่ยวางแผนจัดการเรื่องนี้ยังไง?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าว “ดูเหมือนตามกลุ่มคนด้านหน้าพวกนั้นไปก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน รอให้ผ่านวัดหนานซานไป รอจนกว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นึกว่าฉันตายและกำจัดอันตรายที่พัวพันไปได้แล้ว พวกเราจะสลัดพวกเขาทิ้งทันที นับจากนี้ไปนภากว้างไกลปฐพีไพศาล อาศัยความสามารถของพวกเราพี่น้อง ออกไปท่องดูให้ทั่วกันเถอะ”
หลังจากทั้งสองหารือเรื่องนี้กันอยู่ครู่หนึ่ง เต้าเหยี่ยก็เริ่มเล่าเรื่องของโลกบำเพ็ญที่ตนรู้ให้หยวนกังฟัง เพื่อที่จะได้ยกระดับมุมมองของหยวนกังให้หลุดพ้นจากหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนั้นและมีความเข้าใจต่อโลกใบนี้มากขึ้น เพื่อที่จะได้เอาตัวรอดในโลกนี้ได้ น่าเสียดายที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ยอมให้นำตำราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวสำคัญในโลกบำเพ็ญเพียรออกมา มิเช่นนั้นคงประหยัดคำพูดไปได้มาก หยวนกังติดตามเขาคลุกคลีอยู่ใน ‘โลกโบราณคดี’ มานานหลายปี อ่านอักษรเสี่ยวจ้วนได้ไม่มีปัญหาเลย
จู่ๆ หยวนกังที่ฟังและครุ่นคิดตามไปด้วยตลอดทั้งทางก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “ผู้คนในโลกบำเพ็ญเพียรเข้าแทรกแซงเรื่องทางโลก ถึงขั้นที่เข้าร่วมการแก่งแย่งอำนาจของแคว้นต่างๆ ด้วย ผมรู้สึกว่ามันยากจะเข้าใจได้จริงๆ”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “มีอะไรเข้าใจยากกัน การไม่รู้อะไรเลยต่างหากที่ยากจะเข้าใจได้ เรื่องที่ไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่ เคยอ่าน ‘สถาปนาเทพ[1]’ ไหม? ศึกราชวงศ์ซางกับราชวงศ์โจวในเรื่อง มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่เข้าร่วมด้วย อาทิเจียงจื่อหยา นาจา หยางเจี้ยนอะไรพวกนั้น สถานการณ์คล้ายคลึงกับโลกที่พวกเราอยู่ในตอนนี้เลย นายคิดซะว่าพวกเราเข้าไปอยู่ในโลกที่อยู่ในหนังสือ ‘สถาปนาเทพ’ ก็แล้วกัน เดี๋ยวสมองก็ปรับตัวไปได้เอง”
หยวนกังพูดไม่ออกอยู่บ้าง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เต้าเหยี่ย จากที่คุณว่ามา หรือว่าบนโลกนี้จะมีเทพเซียนที่เหาะเหินไปมาได้อยู่จริงๆ?”
หนิวโหย่วเต้าที่กุมบังเหียนกระทุ้งม้ายิ้มออกมาอีกครั้ง “สิ่งที่เรียกว่าเทพเซียนนั่นน่ะ มันขึ้นอยู่กับว่านายเข้าใจแบบไหน ถ้านิยามแค่เหาะเหินไปมา มันก็น่าจะอยู่มีนั่นแหละ เพียงแต่ผู้คนในโลกนี้ที่บำเพ็ญเพียรไปถึงขั้นนั้นได้ดูเหมือนจะมีไม่มาก ถ้าบำเพ็ญเพียรไปถึงระดับนั้นได้จริงๆ ก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแล้ว ผู้คนด้านล่างก็คงดาหน้าเข้ามาหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ แต่โดยทั่วไปแล้วคิดว่าพวกเขาน่าจะไม่ยอมเผยตัวกันง่ายๆ”
“เหาะเหินไปมาได้จริงๆ น่ะหรือ?” หยวนกังส่ายหน้า แม้ว่าเป็นคำพูดของคนที่เขาไว้วางใจ แต่เขาก็ยังกล่าวอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อว่า “เป็นไปไม่ได้!”
หนิวโหย่วเต้าผายสองมือออก “เป็นไปได้สิ แค่นายไม่ได้สัมผัสถึงแก่นแท้ของมัน ก็เลยไม่เข้าใจเท่านั้นเอง”
หยวนกังประหลาดใจ “เป็นไปได้? เป็นไปได้ยังไง?”
หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญเล็กน้อย คิดว่าควรจะอธิบายเขาอย่างไรดี หลังจากตรึกตรอกดูแล้ว จึงเอ่ยว่า “ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ ฉันก็เหมือนกับนายที่ไม่เชื่อเรื่องเทพเซียนอะไรเลย แต่หลังจากฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาห้าปี พอเปรียบเทียบทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ฉันก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าแก่นแท้มันอยู่ตรงไหน นายดูนะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า