อ่านสรุป ตอนที่ 27 เจ้าอาวาสหยวนฟาง จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 27 เจ้าอาวาสหยวนฟาง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ตอนที่ 27 เจ้าอาวาสหยวนฟาง
จังหวัดกว่างอี้ เขาหนานซาน
เขาเขียวขจี ป่าลึกสลัว ยามสนธยา ม้าสามตัวพุ่งเข้ามาทำลายความเงียบสงบในภูเขา สร้างความแตกตื่นให้นกและสัตว์ที่อยู่
ริมทางขึ้นเขา
ใต้ร่มไม้ข้างทางมีศาลาน้อยหลังหนึ่ง ศาลาสร้างขึ้นเพื่อป้องกันลมฝนให้แผ่นศิลาจารึก บนศิลามีตัวหนังสือคำว่า ‘วัดหนานซาน’ ที่สภาพคล้ายถูกกาลเวลากัดกร่อนมาเป็นเวลายาวนานสลักเอาไว้
ซ่งเหยี่ยนชิง สวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วรั้งม้าให้หยุด อ่านป้ายศิลาจารึกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มาผิดที่ เงยหน้ามองบันไดศิลาตรงหน้าที่ทอดตัวลดเลี้ยวขึ้นสู่ภูเขา มองเห็นชายคามุมหนึ่งโผล่ออกมาจากป่าทึบรางๆ น่าจะเป็นที่ตั้งวัด
ซ่งเหยี่ยนชิงเอียงศีรษะส่งสัญญาณ สวี่อี่เทียนขยับเท้ากระทุ้งม้า ขี่ม้าไต่บันไดขึ้นไป ซ่งเหยี่ยนชิงตามหลัง ส่วนเฉินกุยซั่วรั้งท้าย
บนยอดเขามีวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง สภาพแวดล้อมเงียบสงัด เณรน้อยที่กวาดพื้นอยู่หน้าประตูเห็นคนทั้งสามลงจากม้าก็เข้าไปกล่าวทักทาย “ประสกทั้งสาม เย็นย่ำแล้ว ไม่ทราบว่า…”
ซ่งเหยี่ยนชิงเหลือบมองอย่างเย็นชาด้วยสายตาดูแคลน ผลักเขาออกไป ก้าวอาดๆ เดินเข้าประตูไป สวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วเองก็จูงม้าเดินผ่านประตูหน้าเข้าไปในวัด เณรน้อยรีบโยนไม้กวาดทิ้งแล้ววิ่งกลับไปรายงาน
ไม่นานนัก สมณะที่ร่างกายกำยำสิบกว่ารูปก็กรูกันออกมา ต่างคนต่างถือไม้พลองยืนเรียงเป็นแถว ขวางคนทั้งสามไว้ในลานด้านนอก จีวรของสมณะแต่ละรูปผ่านการซักจนสีซีด ดูอัตคัดอยู่บ้าง
ซ่งเหยี่ยนชิงหยิบเงินออกมาจากถุงเงินคาดเอวแล้วโยนออกไป เหรียญหล่นกระจัดกระจายอยู่ตรงเท้าของเหล่าสมณะ
เหลืองอร่ามแวววาว เป็นเหรียญทองทั้งสิ้น นี่มิใช่เศษเงินเล็กน้อยเลย เหล่าสมณะมองหน้ากัน
“เงินทำบุญ! จัดเตรียมห้องพักอย่างดีให้พวกข้า หาหญ้ามาป้อนพวกม้าด้วย” ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยอย่างเฉยชา
“ที่แท้ประสกทุกท่านเป็นผู้แสวงบุญ!” สมณะผู้ดูแลที่อยู่ใต้ชายคาอารามหลักร้องอุทาน รีบเดินเข้ามาหา โบกมือสื่อให้เหล่าสมณะที่ถือไม้พลองวางอาวุธลง ก่อนจะเดินออกมารับรองซ่งเหยี่ยนชิงด้วยตัวเอง “ทุกวันนี้เกิดสงครามวุ่นวาย บนเขามีโจรอยู่ไม่น้อย เห็นประสกทั้งหลายจูงม้าบุกเข้ามา จึงนึกว่าเป็นคนถ่อย เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว เชิญด้านในเถิด เชิญๆ” เขาผายมือเชิญแขกไปที่เรือนรับรอง
ม้าทั้งสามถูกคนจูงไปดูแล เหล่าสมณะเริ่มเก็บเหรียญทองบนพื้น
“ท่านคือเจ้าอาวาสวัดนี้?” ซ่งเหยี่ยนชิงเอามือไพล่หลังเอ่ยถามขณะที่เดินไปตามเฉลียงทางเดิน
“หาใช่ไม่ อาตมาคือหรูฮุ่ย เป็นผู้ดูแลเรือนบุริมทิศ” หรูฮุ่ยแนะนำตัวอย่างมีมารยาท ท่าทางนั้นคล้ายกำลังประจบเอาใจผู้อุปถัมภ์ใหญ่อย่างซ่งเหยี่ยนชิง
ซ่งเหยี่ยนชิงปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “ให้เจ้าอาวาสของพวกท่านมาพบข้า”
หรูฮุ่ยส่ายหน้ากล่าวว่า “น่าเสียดาย ท่านเจ้าอาวาสออกไปเยี่ยมเยือนสหาย พรุ่งนี้ถึงจะกลับ!”
ตกค่ำ พวกซ่งเหยี่ยนชิงทั้งสามพักอยู่ที่เรือนรับรองแขก
เมื่อควันไฟจากทางโรงครัวของวัดดับลงไม่นาน เณรน้อยสองรูปก็นำอาหารเจมาส่ง
เมื่อจัดวางอาหารเจเสร็จเรียบร้อย เณรน้อยสองรูปก็ถอยออกไป สวี่อี่เทียนเดินมาหน้าโต๊ะมองแวบหนึ่ง เป็นข้าวต้มผักกวางตุ้งหม้อหนึ่ง เรียบง่ายอย่างยิ่ง
สวี่อี่เทียนหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา เทผงสีขาวลงไปในข้าวต้มเล็กน้อย จากนั้นหยิบช้อนมาคน ทันใดนั้นสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน มองเห็นสีสันของข้าวต้มกลายเป็นสีดำ จึงหันมาเรียกเบาๆ “ศิษย์พี่!”
ซ่งเหยี่ยนชิงและเฉินกุยซั่วเดินเข้ามาดู สีหน้าแปรเปลี่ยนเช่นกัน อาหารเจนี้มีพิษ โชคดีที่ตรวจสอบดูก่อน มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ใดจะคาดถึงว่าวัดที่ดูปกติธรรมดาจะทำเรื่องเช่นนี้ได้
“พวกโจรหัวล้าน!” เฉินกุยซั่วกัดฟันกรอด หันหลังหมายจะไปคิดบัญชีกับเหล่าสมณะ
ซ่งเหยี่ยนชิงกลับยื่นมือคว้าแขนเขาไว้ เรียกทั้งสองเข้ามาหา สุมหัวพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง
จากนั้น สวี่อี่เทียนยกอาหารเจหม้อนั้นไปกำจัดทิ้งที่มุมหนึ่ง หลังจากจัดฉากข้าวของบนโต๊ะเล็กน้อย ทั้งสามก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้กัน ทยอยล้มตึงแน่นิ่งอยู่บนพื้นไปทีละคน
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หน้าต่างตรงหัวมุมถูกดึงแง้มออก ดวงตาข้างหนึ่งสอดส่องเข้ามาในห้องเล็กน้อยก่อนจะหายไปอีก
สักพักหนึ่ง เสียงฝีเท้าแว่วมาจากทางด้านนอก สมณะถือไม้พลองสองรูปผลักประตูเข้ามา จากนั้นสมณะชราห่มกาสาวพัสตร์รูปหนึ่งเดินตามเข้ามา รูปร่างไม่สูง ผอมแห้ง หลังค่อมเล็กน้อย ผิวพรรณดำคล้ำ ไว้เคราสีขาว สองตาแวววาวแจ่มใส เป็นเจ้าอาวาสหยวนฟางแห่งวัดหนานซาน
สมณะถือไม้พลองกรูกันเข้ามาจากด้านนอก หรูฮุ่ยผู้ดูแลเรือนบุริมทิศติดตามอยู่ทางซ้ายมือของสมณะชรา ส่วนทางขวาคือหรูหมิงผู้ดูแลเรือนประจิมทิศ
หยวนฟางกัดฟันเอ่ย “หากข้าบอกว่าอยากรอดแล้วเจ้าจะปล่อยข้าหรือ?”
ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่มีเรื่องดีเช่นนั้นหรอก ถ้าอยากรอดก็จงรับใช้ข้า ขอเพียงทำตัวว่าง่าย ข้าจะช่วยทำความปรารถนาที่อยากเข้าไปสร้างวัดในเมืองของเจ้าให้เป็นจริง อีกทั้งจะให้ราชสำนักมอบสถานะอย่างเป็นทางการให้เจ้าด้วย มิเช่นนั้นปีศาจอย่างเจ้าไปที่ไหนชีวิตก็มีภัยอันตรายทั้งสิ้น ผู้บำเพ็ญเพียรที่คอยสยบมารกำจัดปีศาจเหล่านั้นไม่มีทางยอมละเว้นเจ้าง่ายๆ!” เขาตวัดมือเผยให้เห็นป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่ง
คำว่า ‘ทัณฑ์’ บนป้ายคำสั่งทำให้ม่านตาของหยวนฟางหดตัว…
………
ผ่านไปสักพัก เหล่าสมณะที่สลดใจกับการจากไปของพวกพ้องเริ่มจัดการศพของพรรคพวกตน พวกซ่งเหยี่ยนชิงย้ายไปอยู่เรือนรับรองแขกสะอาดสะอ้านอีกแห่งหนึ่ง
ภายในเรือนรับรองแขก เบื้องหน้าพวกซ่งเหยี่ยนชิง หยวนฟางที่ทำแผลเสร็จเรียบร้อยสั่งให้ศิษย์ถอยออกไป เพียงแต่เส้นขนสีทองทั่วร่างทำให้พวกซ่งเหยี่ยนชิงมองออกแล้ว ที่แท้เขาก็เป็นปีศาจไม่ได้เรื่องตัวหนึ่ง ไม่อาจแปลงกายเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ได้
ซ่งเหยี่ยนชิงมองดูหยวนฟางสวมเสื้อผ้าเข้าไปใหม่ เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เท่าที่ข้ารู้มา วัดหนานซานแห่งนี้เหมือนจะมีประวัติยาวนาน เหล่าสมณะยอมให้ปีศาจอย่างเจ้าขึ้นเป็นเจ้าอาวาสได้อย่างไร?” จากการต่อสู้กับสมณะรูปอื่นๆ ทำให้เขาแน่ใจว่าสมณะเหล่านั้นล้วนแต่เป็นมนุษย์จริงๆ ทว่าเจ้าอาวาสกลับเป็นปีศาจตนหนึ่ง จะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไรเล่า
หยวนฟางค่อยๆ สวมเสื้อผ้าไม่ให้สะเทือนบาดแผล เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “อันที่จริงข้ามิใช่เจ้าอาวาสหยวนฟาง…”
หลังจากเขาบอกเล่าความจริง พวกซ่งเหยี่ยนชิงถึงได้กระจ่าง ที่แท้เจ้าอาวาสหยวนฟางตัวจริงมรณภาพไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว ส่วนเขาเป็นหมีตัวหนึ่งที่เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานเก็บมาเลี้ยงเมื่อสองร้อยปีก่อน อาจเป็นเพราะมีวาสนาได้ฟังเทศนาธรรมเป็นประจำ จึงค่อยๆ เบิกปัญญา ตระหนักรู้วิธีดูดซับพลังวิญญาณในฟ้าดินได้ด้วยตัวเอง ค่อยๆ ก่อเกิดเป็นสภาวะ จากนั้นก็ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในหุบเขา กระทั่งเขามีสภาวะถึงระดับหนึ่งจึงเริ่มแปลงกาย ผู้ที่เขาแปลงกายเลียนแบบก็คือเจ้าอาวาสหยวนฟาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีรูปลักษณ์เหมือนหยวนฟาง เพียงแต่มีสภาวะไม่มากพอ การแปลงกายจึงไม่สมบูรณ์ ยังอยู่ในขั้นรอความก้าวหน้า
แล้วก็เป็นเช่นเดียวกับที่เขากล่าวไว้ โลกโกลาหลวุ่นวาย การจะบำรุงรักษาวัดหนานซานจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ในตอนที่เจ้าอาวาสหยวนฟางยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นเขาที่ขโมยข้าวของจากภายนอกมาจุนเจืออยู่ไม่ขาด ถึงได้ประคับประคองวัดหนานซานไม่ให้ล่มสลายได้ เมื่อเจ้าอาวาสหยวนฟางจะมรณภาพก็ไม่อยากให้วัดหนานซานล่มสลาย จึงฝากฝังวัดหนานซานไว้กับเขา เพียงแต่เจ้าปีศาจตัวนี้อยากเติมเต็มความปรารถนาของเจ้าอาวาสหยวนฟาง จึงเริ่มพาเหล่าสมณะออกไปกระทำเรื่องน่าละอาย ไม่เพียงแต่ฆ่าชิงทรัพย์อยู่ในวัดเท่านั้น หากแต่ยังพาสมณะแห่งวัดหนานซานไปดักปล้นริมถนนด้วย เมื่อก่อนสมณะบางส่วนรับข้าวของที่เขาไปปล้นชิงมายังชีพอย่างเงียบๆ ก็ยังพอรับได้ แต่พอต้องลงมือทำเรื่องเช่นนี้ด้วยตัวเองจริงๆ ก็รู้สึกรับไม่ค่อยได้ ศิษย์พุทธองค์ออกปล้นชิงจะยังนับเป็นศิษย์พุทธองค์ได้อยู่หรือ? จึงพากันจากไป จากจำนวนหลักร้อยเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งเท่านั้น และผลจากการวางแผนฆ่าชิงทรัพย์ครั้งนี้ก็ทำให้เขาตกอยู่ในกำมือซ่งเหยี่ยนชิง
“ความจริงข้าก็ทำเรื่องดีเอาไว้ไม่น้อยเหมือนกัน ในป่าเขาละแวกนี้มีโจรชั่วหลายกลุ่มที่หนีขึ้นเขามากบดาน ล้วนเป็นข้าที่พาศิษย์วัดหนานซานไปกวาดล้าง มาหนึ่งกลุ่มข้าก็กำจัดทิ้งหนึ่งกลุ่ม โจรพวกนั้นชั่วร้ายเป็นอย่างมาก เจอคนก็ปล้นชิง เจอสตรีก็ฉุดคร่ากลับรังโจร แต่พวกเราน่ะแตกต่างออกไป พวกเราปล้นแค่คนมั่งมี ไม่ทำอันตรายคนยากจนเด็ดขาด บางครั้งพวกเราก็เอาเสบียงบางส่วนไปบริจาคให้หมู่บ้านในละแวกนี้ด้วย ไม่เชื่อพวกเจ้าก็ลองไปสอบถามดูได้ นับตั้งแต่ที่ข้าเป็นเจ้าอาวาส หมู่บ้านในละแวกนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องโจรขโมยอีกเลย กลางคืนไม่ต้องปิดประตูก็ยังได้ แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเป็นวัดหนานซานที่ช่วยขจัดภัยให้พวกเขา แต่พวกเขาก็ต้องพูดกันเป็นเสียงเดียวกันแน่ว่าวัดหนานซานดี ไม่มีทางว่าร้ายเด็ดขาด ชื่อเสียงของวัดหนานซานในละแวกนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน!” หยวนฟางเน้นย้ำประเด็นนี้เป็นพิเศษ ตั้งใจพิสูจน์ยืนยันว่าความจริงแล้วตนเป็นคนดี
หลังจากพวกซ่งเหยี่ยนชิงได้ฟังก็ตะลึงตาค้าง เจ้าอาวาสรูปนี้ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก นี่มันใช่เจ้าอาวาสที่ไหนกัน? นี่มันลูกพี่ใหญ่ชัดๆ!
…………………………………………
[1] คฑาขักขระ เป็นหนึ่งในเครื่อง อัฏฐะบริขารที่มีระบุอยู่ในพรหมชาลสูตรฝ่ายมหายาน สำหรับถือมือขวาเวลาออกธุดงค์หรือบิณฑบาต ทั้งยังใช้ป้องกันตัวและแสดงวรยุทธ์อีกด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า