ตอนที่ 28 มีมื้อดึกกินเหรอ?
หลังพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อย หยวนฟางก็ขอตัวออกไป ซ่งเหยี่ยนชิงส่งสวี่อีเทียนออกไปเป็นเพื่อน แต่ความจริงแล้วคือให้ไปเฝ้าอีกฝ่ายเอาไว้ อย่าปล่อยให้หยวนฟางหนีไปได้ สำหรับซ่งเหยี่ยนชิงแล้ว เรื่องที่หยวนฟางจะยอมรับใช้เขาหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่อาจรู้ได้ อย่างน้อยที่สุดตอนนี้คือเขาไม่อาจปล่อยให้หยวนฟางมาทำลายแผนการของตนเองได้ เวลานี้เขาต้องควบคุมวัดหนานซานเอาไว้ในมือของตัวเองก่อน
หลังหยวนฟางออกไปแล้ว ซ่งเหยี่ยนชิงก็อดสบถด่าอย่างขบขันขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าปีศาจหมีตนนี้น่าสนใจ”
เฉินกุยซั่วขยับเข้ามาใกล้เขา กะพริบตาพลางกล่าวว่า “หมี ขนสีทอง มีดดาบฟันแทงไม่เข้า! ศิษย์พี่ ท่านนึกอะไรออกบ้างไหม?”
สายตาของซ่งเหยี่ยนชิงคร่ำเคร่งขึ้นมา พยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าว “ตอนที่เขาถอดเสื้อเผยให้เห็นขนสีทองทั่วทั้งร่างข้าก็มองออกแล้ว เขาคือหมีขนทองที่อยู่ในบันทึกสัตว์แปลกประหลาด อาภรณ์ชุดเกราะที่ถักทอจากขนสีทองของเขามีความสามารถในการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างมาก เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะมาถูกพวกเราพบเข้าที่นี่ได้ ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เกรงว่าเขาคงจะไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนในโลกบำเพ็ญเพียรเท่าไร มิเช่นนั้นด้วยสภาวะที่ต่ำต้อยเช่นนี้จะกล้าเปิดเผยตัวตนง่ายๆ ได้อย่างไร ไม่ต้องรีบ เรื่องในอนาคตค่อยว่ากัน รอดูว่าเขาจะรู้จักประมาณตนหรือไม่ จัดการเรื่องสำคัญที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อน”
เฉินกุยซั่วส่งเสียง ‘อืม’ ตอบรับ เขาพบว่าเจ้าปีศาจหมีตัวนี้ยังดวงดีอยู่ หากมิเป็นเพราะว่าเขายังแปลงกายเป็นคนได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้บนร่างยังมีขนทองช่วยป้องกันเอาไว้ เกรงว่าในตอนแรกที่ลงมือคงจะถูกพวกเขาสังหารไปแล้ว
หลังจากนั้น เฉินกุยซั่วก็ไปเดินสำรวจดูสภาพแวดล้อมรอบๆ วัดหนานซานเป็นเพื่อนซ่งเหยี่ยนชิงเพื่อเตรียมตัว
หลังพวกเขาสามคนออกมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเขาก็เร่งเดินทางมาโดยมิได้หยุดพัก เพื่อจะได้มาเตรียมการเอาไว้ก่อนล่วงหน้า การเดินทางครั้งนี้ได้รับประโยชน์จากตระกูลของซ่งเหยี่ยนชิง พวกเขาจึงสามารถหาศาลาพักม้าและทำการเปลี่ยนม้าระหว่างทางได้ มิเช่นนั้นม้าของทั้งสามคงเร่งเดินทางโดยไม่หยุดพักไม่ไหวแน่
…….
แสงจันทร์กระจ่าง ส่องสว่างลำน้ำใหญ่ กระโจมผ้าตั้งเรียงรายไปตามริมน้ำ เกลียวคลื่นในแม่น้ำซัดสาดสะท้อนแสงจันทร์
ศาลาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนก้อนหินริมแม่น้ำดูค่อนข้างเก่าทรุดโทรม ซางเฉาจงยืนสองมือไพล่หลังอยู่ริมราวกั้น สายตาทอดมองแสงจันทร์บนแม่น้ำ
หลานรั่วถิงที่อยู่ไม่ไกลสืบเท้าเดินมา ค่อยๆ ย่างเข้าไปในศาลา เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องไม่เข้านอน แต่กลับมายืนเหม่อมองแม่น้ำเช่นนี้ มีเรื่องในใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงถอนใจเบาๆ “มาตรว่าภายในใจข้าจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าและฮึกเหิม ทว่าสถานการณ์ของพวกเราเป็นเช่นไรข้าย่อมรู้ดี เวลานี้ข้างกายไร้ซึ่งฝ่าซือที่แข็งแกร่งคอยปกป้องคุ้มครอง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเดินทางไปถึงเมืองศักดินาได้โดยปลอดภัยหรือไม่ เมื่อข้ามจังหวัดกว่างอี้ไปแล้ว อำเภอชางหลูก็อยู่อีกไม่ไกล ยิ่งใกล้ถึงปลายทางข้ายิ่งเป็นกังวล”
หลานรั่วถิงกล่าวปลอบ “ท่านอ๋องโปรดวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่พวกเราจะได้ทัพกาทมิฬมา การเดินทางของพวกเราครั้งนี้ไม่มีทางพบอันตรายร้ายแรงอะไร น่าจะเดินทางไปถึงโดยสวัสดิภาพ กระหม่อมกลับเป็นห่วงทางเมืองศักดินามากกว่า เกรงว่าทางราชสำนักคงเตรียมการเอาไว้แล้ว”
ซางเฉาจงหันหน้ากลับมาถาม “นี่ข้ากำลังครุ่นคิดว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเรายังมีความจำเป็นที่จะไปอำเภอชางหลูอยู่หรือไม่”
สีหน้าของหลานรั่วถิงพลันขึงขังขึ้นมา รีบโบกมือพลางกล่าว “ท่านอ๋อง ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังอำเภอชางหลูครานี้ ทางราชสำนักจะต้องแอบจัดคนมาคอยจับตาดูพวกเราอย่างแน่นอน หากพวกเรามุ่งหน้าตรงไปตามเส้นทางที่วางไว้ เราก็ยังพอจะเดินทางไปถึงโดยปลอดภัยได้ ทว่าหากออกนอกเส้นทางจนไม่อาจควบคุมได้ เกรงว่าคงจะมีคนมาตามไล่สังหารทันทีเป็นแน่ นอกจากนี้ที่ผู้น้อยพยายามติดสินบนคนในเมืองหลวง เพื่อขอให้พวกเขาช่วยเนรเทศท่านอ๋องไปยังอำเภอซางหลูก็มิใช่ว่าไม่มีเหตุผล เพราะเมื่อครั้งที่ท่านอ๋องพระองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ พระองค์ได้เตรียมกำลังคนและทรัพย์สินจำนวนหนึ่งเอาไว้ที่อำเภอชางหลู ที่นี่คือความหวังสุดท้ายของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ในมือพวกเราไม่มีทรัพยากรอื่นให้ใช้ได้แล้ว ไม่อาจละทิ้งไปได้โดยง่ายพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาคงพยักหน้าอย่างเงียบๆ กล่าวว่า “หวังว่าจะสามารถดูแลพี่น้องที่สาบานว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับข้าเหล่านี้ได้!”
ในเวลานี้เอง กวนเถี่ยผู้เป็นหนึ่งในห้านายกองเดินอาดๆ เข้ามา ด้านหลังยังมีชายชราผมขาวที่เดินขากะเผลกเล็กน้อยคนหนึ่งเดินตามมา
ทั้งสองคนเดินเข้ามาในศาลา กวนเถี่ยประกบมือกล่าวรายงานว่า “ท่านอ๋อง ลุงฟางมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ชายชราผมขาวผู้นั้นคุกเข่าข้างเดียวลงไปคำนับ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “ข้าน้อยฟางผิงคารวะท่านอ๋องน้อย…ไม่สิ คารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
“ลุงฟาง รีบลุกขึ้นๆ!” ซางเฉาจงรีบก้าวเข้าไป สองมือประคองชายชราให้ลุกขึ้น
ในอดีตชายชราผู้นี้เคยเป็นทหารคนสนิทคนหนึ่งของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว ภายหลังได้รับบาดเจ็บจากสงคราม เท้าเดินเหินไม่สะดวกจึงเกษียณออกจากกองทัพไป จากนั้นกลับมายังบ้านเกิด ซึ่งบ้านเกิดของเขาก็อยู่ในแถบนี้
กระทั่งเขาลุกขึ้นยืน หลานรั่วถิงจึงกล่าวถามว่า “ฟางผิง ที่ก่อนหน้านี้ข้าส่งคนมาบอกให้เจ้าเตรียมแพข้ามแม่น้ำเอาไว้ เจ้าเตรียมการเรียบร้อยหรือยัง?”
ฟางผิงส่ายศีรษะด้วยสีหน้าละอาย กล่าวว่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ จนถึงตอนนี้เพิ่งเตรียมแพได้ไม่กี่แพเท่านั้นขอรับ”
หลานรั่วถิงขมวดคิ้ว “คนตั้งหลายสิบคน หลายวันนี้กลับเตรียมแพได้เพียงไม่กี่แพ มันเกิดอะไรขึ้น?” ที่ในอดีตซางเจี้ยนปั๋วจงใจส่งทหารเกษียณจำนวนหนึ่งมาอาศัยอยู่ในแถบนี้มิใช่ว่าไม่มีเหตุผล ที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อเตรียมการเผื่อเหตุจำเป็น
ฟางผิงถอนใจพลางกล่าว “ท่านอาจารย์หลานอาจจะยังไม่ทราบ หลังจากเฟิ่งหลิงปอที่เป็นผู้ว่าจังหวัดกว่างอี้มีกำลังทหารอยู่ในมือก็หลงคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ เกิดการปะทะกับกองทัพของทางราชสำนักอยู่หลายครั้ง ทำให้หมู่บ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ซ้ำยังบังคับเกณฑ์คนหนุ่มไปเป็นทหาร คนของพวกเราหลายสิบคนตายไปมากกว่าครึ่ง แล้วก็ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่ถูกคนของเฟิ่งหลิงปอจับตัวไป เป็นตายไม่อาจรู้ได้ แล้วก็มีแต่ข้าน้อยที่อายุมากแล้ว ซ้ำยังเดินเหินไม่สะดวก คนเหล่านั้นจึงไม่สนใจ ข้าน้อยจึงรอดมาได้ขอรับ”
หลานรั่วถิงตกอยู่ในความเงียบ
“อย่างนี้นี่เอง! ลุงฟาง ไม่ต้องคิดมาก นี่มิใช่ความผิดท่าน” ชางเฉาจงได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวปลอบ ก่อนจะเหลียวหน้าชี้ไปทางต้นแม่น้ำ “หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตรงช่องแคบของแม่น้ำที่อยู่ช่วงต้นแม่น้ำมีสะพานอยู่แห่งหนึ่ง หากข้ามไปด้วยแพไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ พวกเราก็เดินอ้อมไปหน่อยก็ได้”
หลานรั่วถิงยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “ท่านอ๋องอาจจะยังไม่ทราบ เรื่องการปะทะกันของเฟิ่งหลิงปอกับกองทัพของทางราชสำนักนั้นผู้น้อยเองก็ทราบอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพของราชสำนักลอบโจมตี เรือทุกลำในแม่น้ำสายนี้ไม่เพียงแต่จะถูกเฟิ่งหลิงปอควบคุมเอาไว้ แต่สะพานทุกแห่งที่สามารถข้ามไปมาระหว่างแม่น้ำเส้นนี้ได้ก็ถูกเฟิ่งหลิงปอทำลายจนหมดด้วย หากจะต้องเดินทางอ้อมจริง เกรงว่าคงต้องอ้อมไปไกลเจ็ดแปดร้อยลี้ พวกเรามีเวลาเพียงไม่กี่วันเกรงว่าจะอ้อมไปไม่ได้ หลังอ้อมผ่านแม่น้ำไปแล้วก็ยังต้องเดินอ้อมไปอีกไกล ได้ไม่คุ้มเสีย มิสู้ต่อแพข้ามแม่น้ำพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาจงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงตัดสินใจออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นฟ้าสางก็เริ่มตัดไม้!”
สุดท้ายก็ตกลงกันตามนี้ ขณะที่กวนเถี่ยเพิ่งจะพาฟางผิงไปพักผ่อน ซางซูชิงที่สวมหมวกผ้าแพรก็อุ้มพิณกู่ฉินเดินเข้ามา ด้านหลังยังมีคนเดินถือถาดอาหารเดินตามเข้ามาด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า