ตอนที่ 29 แต่งกลอนสักบทไม่ถึงกับตายเสียหน่อย
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” ซางเฉาจงยิ้มกระอักกระอ่วนขึ้นมา
เมื่อเห็นซางซูชิงไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามานั่ง หนิวโหย่วเต้าจึงรีบกล่าวเชิญเช่นกันว่า “ท่านหญิงเชิญนั่งพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงยิ้มเล็กน้อยพลางปฏิเสธ “ข้าใบหน้าอัปลักษณ์ กลัวว่าจะทำลายความอยากอาหารของฝ่าซือ ข้าคอยบรรเลงเพลงขับกล่อมให้ฝ่าซืออยู่ตรงนี้ดีกว่า” กล่าวจบก็เดินไปนั่งลงตรงข้างโต๊ะวางกู่ฉิน ปรับท่าทางและจัดวางกู่ฉิน
หนิวโหย่วเต้าเองก็ยอมรับว่าใบหน้าของสตรีผู้นี้นั้นค่อนข้างน่าหวาดกลัวจริงดั่งว่า ที่บอกว่าไม่สวยนั้นล้วนแต่เป็นการพูดให้ดูมีมารยาท ความจริงแล้วมันสามารถส่งผลกระทบต่อความรู้สึกอยากอาหารได้จริงๆ หากนางมานั่งกินอาหารจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นนางก็จะต้องปลดหมวกออก นั่นมิเท่ากับเป็นการส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารหรอกหรือ
แต่จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงที่สามารถยิ้มและยอมรับว่าตัวเองหน้าตาอัปลักษณ์ได้อย่างใจเย็นเช่นนี้ ภายในใจนางจะต้องมีความเข้มแข็งเป็นอย่างมากแน่นอน ใช้ชีวิตมาสองโลกก็แทบจะไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้เลย ซางซูชิงยิ่งทำให้เขารู้สึกสนใจ
ซางเฉาจงที่ได้ยินคำพูดนี้มีสีหน้าเศร้าสร้อยไปเล็กน้อย หากน้องสาวของตนพลาดโอกาสที่จะได้ลบปานอัปลักษณ์ไปแล้วจริงๆ เกรงว่านางคงต้องเสียเวลาไปทั้งชีวิตเป็นแน่
เมื่อเห็นซางเฉาจงเหม่อลอย หลานรั่วถิงจึงกระแอมเตือนขึ้นมาเล็กน้อย “อะแฮ่มๆ!”
ซางเฉาจงได้สติกลับมา ยกจอกสุรากล่าวเชิญ “ฝ่าซือ เดินทางมายากลำบาก ยังมิได้ดูแลให้ดี วันนี้ขอชดเชย เชิญดื่มหมดแก้ว!”
“คำพูดนี้ของท่านอ๋องทำให้แซ่หนิวรู้สึกละอาย แซ่หนิวขอดื่มให้ท่านอ๋อง!” หนิวโหย่วเต้ายกแก้วขึ้นมา เตรียมจะดื่มคารวะ
ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ หยวนกังจะยื่นมือมากดไหล่ของเขาเอาไว้ กล่าวเตือนว่า “เต้าเหยี่ย!”
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก อย่าว่าแต่หนิวโหย่วเต้าเลย กระทั่งซางเฉาจงและหลานรั่วถิงก็ฟังออกว่านี่เป็นการเตือนให้หนิวโหย่วเต้าระวังสุราจะมีพิษ ทำเอาทั้งสองอดมองไปทางหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร
หนิวโหย่วเต้าไม่พูดอะไร หากแต่แหงนหน้ากรอกสุราเข้าปาก ก่อนจะหันจอกสุราที่ว่างเปล่าให้ทั้งสองคนดูเพื่อบอกว่าไม่มีอะไรปิดบัง
เมื่อเห็นเขาไม่ฟัง ฝ่ามือของหยวนกังก็ยกออกจากไหล่ของเขา แล้วก็มิได้กล่าวอะไรอีก เขาเพียงแค่เตือนในสิ่งที่เตือนได้ พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดอะไรมาก เชื่อว่าเต้าเหยี่ยคงจะคิดได้ด้วยตัวเอง
สำหรับพฤติกรรมของหยวนกังที่ไม่เชื่อใจพวกเขา ทางนี้เองก็พอจะเข้าใจได้ เพราะไม่ถือว่าสนิทสนมกัน จู่ๆ เชิญมาดื่มสุราเช่นนี้ การที่จะรู้สึกสงสัยมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ทางซางเฉาจงรู้สึกประหลาดใจก็คือ เหตุใดหยวนกังผู้นี้ถึงดูคล้ายลูกน้องของหนิวโหย่วเต้า หรือไม่ก็คล้ายองครักษ์ที่คอยติดตามอยู่ข้างกาย มิคล้ายว่าเป็นพี่น้องจากหมู่บ้านเดียวกันเลย และเมื่อดูจากหน้าตาแล้ว หยวนกังผู้นี้ก็คล้ายจะโตกว่าหนิวโหย่วเต้าอยู่หน่อยด้วย
และสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือระหว่างทางที่เดินทางมา หยวนกังขานเรียกหนิวโหย่วเต้าว่า ‘เต้าเหยี่ย’ อยู่ตลอด พี่น้องที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันจากหมู่บ้านเดียวกันจำเป็นต้องเรียกขานว่า ‘เหยี่ย[1]’ ด้วยหรือ? หนิวโหน่วเต้าอายุเท่านี้ ใช้คำว่า ‘เต้าเหยี่ย’ มาเรียกขานมันดูไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
เสียงพิณกู่ฉินที่ฟังดูผ่อนคลายดังติงตังๆ ขึ้นมา ปลายนิ้วของซางซูชิงเกี่ยวกระหวัดสายพิณ พยายามบรรเลงท่วงทำนองที่อ่อนโยนและผ่อนคลายออกมา ด้วยหวังจะกลบเกลื่อนบรรยากาศที่ดูกระอักกระอ่วนนี้ให้หายไป
แสงจันทร์ที่ทอแสงลงมาจากด้านนอกศาลาอาบชโลมอยู่บนร่างของซางซูชิงที่กำลังนั่งบรรเลงพิณ ทำให้รอบๆ ตัวนางคล้ายถูกปกคลุมไว้ด้วยแสงจันทร์ ท่วงท่าการบรรเลงที่ดูอ่อนช้อยและสง่างามทำให้หนิวโหย่วเต้าต้องเหลือบมองดูพลางลอบถอนใจ ชีวิตของสตรีนางนี้นับว่าถูกใบหน้านี้ทำลายลงไปจริงๆ ไม่จำเป็นต้องงดงามอะไรมากนัก ขอเพียงแค่มีใบหน้าปกติธรรมดาไม่น่าหวาดกลัว ด้วยความสามารถและเสน่ห์ของนางก็เพียงพอที่จะดึงดูดบุรุษได้ไม่น้อยแล้ว ช่างน่าเสียดายนัก บางครั้งสวรรค์ก็ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
เมื่อมีเสียงกู่ฉินอันไพเราะช่วยขับกล่อม บรรยากาศก็ดูผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
หลานรั่วถิงคิดอยากฉกฉวยโอกาสขณะที่บรรยากาศกำลังดี ทำการหยั่งเชิงสอบถามความจริงจากอีกฝ่าย ยังคงเป็นเรื่องของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ประเดี๋ยวก็ถามเรื่องตงกัวเฮ่าหรานว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ประเดี๋ยวก็ถามว่าสภาวะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ทุกคำถามก็ล้วนแต่ถูกหนิวโหย่วเต้าตอบปัดแบบขอไปที บางเรื่องนั้นมิใช่ว่าหนิวโหย่วเต้าจงใจโกหก หากแต่ยังคงเป็นเพราะประโยคนั้น เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จริงๆ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับตงกัวเฮ่าหรานก็เกี่ยวพันไปถึงคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนั้น จึงไม่อยากพูดเรื่องนี้กับคนนอกมากนัก ส่วนเรื่องสภาวะของเขา การที่สภาวะของเขาก้าวหน้าถึงระดับนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงห้าปีนั้นถือว่ารวดเร็วเป็นอย่างมาก หากจะพูดก็ทำได้เพียงต้องโกหกไป ถ้าไม่อยากโกหกก็ทำได้เพียงตอบส่งๆ แบบขอไปที
เมื่อเห็นคนผู้นี้ยังคงพูดจาไม่น่าเชื่อถือ ซางเฉาจงจึงลอบขุ่นเคืองหนิวโหย่วเต้าอยู่ในใจอีกครั้ง!
ทว่าหลานรั่วถิงนั้นเป็นคนสุขุมเยือกเย็น เขามิได้ใส่ใจในคำพูดเหลวไหลของหนิวโหย่วเต้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายจงใจที่จะหลีกเลี่ยงคำถามเหล่านั้น อีกทั้งเขาเองก็ไม่อยากทำให้บรรยากาศเสีย จึงเปลี่ยนประเด็นไปเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายแทน “ได้ยินท่านหญิงบอกว่าฝ่าซือมากความสามารถ เพียงเอ่ยปากก็ออกมาเป็นบทกวี ไม่ทราบว่าฝ่าซือยินดีให้ข้าได้เปิดหูเปิดหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้ายังคงโบกมือบอกปัดไปว่า “ท่านหญิงกล่าวชมเกินไปแล้ว เพียงแค่แต่งไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
หลานรั่วถิงหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าว “ฝ่าซือแต่งเรื่อยเปื่อยอีกครั้งจะเป็นไรไป?”
หนิวโหย่วเต้ายังคงบอกปัด “บทกลอนบทกวีเป็นเพียงสิ่งที่ใช้หาความบันเทิง ไม่ควรค่าให้นำออกมาแสดงต่อหน้าทุกคน เทียบไม่ได้กับการนำทัพออกศึกของท่านอ๋อง อย่าไปพูดถึงเลย!”
หลานรั่วถิงกล่าว “คำพูดนี้กล่าวผิดแล้ว บทกลอนบทกวีจะเป็นเพียงสิ่งที่ใช้หาความบันเทิงได้อย่างไร ดั่งคำกล่าวที่ว่าพละกำลังอันแข็งแกร่งสามารถหยุดความวุ่นวายในใต้หล้า สติปัญญาอันเฉลียวฉลาดสามารถทำให้อาณาจักรร่มเย็นประชาราษฎร์เป็นสุข หากจะพูดให้เห็นภาพล่ะก็ นั่นคือกลอนที่ดีบทหนึ่งสามารถปลุกขวัญและกำลังใจของทหารกล้าได้ หากจะพูดให้เห็นภาพยิ่งกว่านั้นล่ะก็ นั่นคือกลอนบทหนึ่งมีค่าพันทองคำในเมืองหลวง เพียงพอให้คนธรรมดาสามารถใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องกังวลไปได้ทั้งชีวิต แล้วสิ่งที่ยอดเยี่ยมในทุกๆ ด้านเช่นนี้ มันจะไม่ควรค่าแก่การแสดงให้ทุกคนได้ดูได้อย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าตาเป็นประกาย ลองถามขึ้นมาว่า “พันทองคำ? มีค่าขนาดนั้นเลยหรือ?” ภายในใจเขาลอบกล่าวพึมพำขึ้นมา หากเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เช่นนั้นปัญหาเรื่องเงินทองของเขากับเจ้าลิงก็มีทางแก้ไขแล้ว คนที่เติบโตขึ้นมาจาก ‘โบราณคดี’ อย่างพวกเขา อย่างอื่นอาจจะไม่มี แต่ของในยุคสมัยโบราณกลับมีอยู่เยอะแยะมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว จากที่เคยลองใช้กับทางซ่งเหยี่ยนชิงมาแล้ว ดูแล้วน่าจะได้ผล
“แน่นอน!” หลานรั่วถิงกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะเชื้อเชิญอีกครั้งว่า “ท่านหญิงมาบรรเลงพิณขับกล่อมให้ฝ่าซือด้วยตัวพระองค์เอง อีกทั้งบรรยากาศที่นี่ยังงดงามถึงเพียงนี้ หวังว่าฝ่าซือคงจะไม่ทำให้พวกข้าต้องผิดหวัง!”
“บทกลอนบทกวีนั้นข้าไม่เป็นจริงๆ” หนิวโหย่วเต้ายังคงคิดปกปิด แต่อีกฝ่ายยกเหตุผลมามากมายขนาดนี้แล้ว เขาจึงได้แต่ต้องฝืนตอบรับไป เพื่อจะได้ไม่ยืดเยื้อวุ่นวาย เพราะว่าเขากินข้าวของอีกฝ่าย อีกทั้งภายหน้ายังมีเรื่องให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ ดังนั้นจึงชี้ไปทางหยวนกังที่อยู่ด้านหลัง กล่าวว่า “แต่ว่าน้องชายของข้าผู้นี้นับว่าเป็นอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวให้เขาร่ายกลอนแทนข้าก็แล้วกัน!”
หยวนกังที่ลอบสังเกตดูเหตุการณ์รอบด้านเพื่อเฝ้าระวังตกตะลึงไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขามองหนิวโหย่วเต้าอย่างงุนงง นึกว่าตัวเองฟังผิดไป จะให้ผมแต่งกลอนเนี่ยนะ? เต้าเหยี่ย คุณบ้าหรือเปล่า?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า