ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 277

สรุปบท ตอนที่ 277 เกาะ: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 277 เกาะ – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บท ตอนที่ 277 เกาะ ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 277 เกาะ

สายน้ำเชี่ยวกรากไหลตัดผ่านช่องเขา เรือแล่นไปตามผิวน้ำ

บนเรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่ง พ่อค้าชุดเขียวคนหนึ่งยืนอยู่ที่หัวเรือชมคลื่นลมซัดสาด ทอดมองออกไปด้านหน้าอยู่พักหนึ่ง จากนั้นหันหลังเดินไปที่ห้องคลังสินค้า ลูบสินค้าที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าใบ ตรวจสอบสินค้าดูอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ภายในใจก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

คนงานที่เฝ้ายามอยู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขนสินค้าไปส่งที่เมืองหลวงรอบนี้ นายท่านคงได้กำไรอีกไม่น้อยเลยกระมังขอรับ?”

พ่อค้าชุดเขียวยิ้มแย้มเอ่ยไปว่า “วางใจเถอะ ทุกคนได้ส่วนแบ่งแน่นอน เอาไว้ส่งมอบสินค้าแล้ว ข้าจะให้ทุกคนได้กินดื่มเสพสุขสำราญกันเต็มที่เลย”

“พวกข้ากำลังรอประโยคนี้อยู่เลยขอรับ” ทุกคนหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา

ใครบางคนถามด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน พาพวกเราไปเปิดหูเปิดตาที่เรือนเมฆาขาวสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ?”

“ไสหัวไป! เจ้าคิดว่าข้าเสกเงินออกมาได้อย่างนั้นหรือ?” พ่อค้าชุดเขียวโบกมือพลางตวาดใส่

“ฮ่าๆ…” เสียงหัวเราะแว่วขึ้นมาอีกครั้ง

พ่อค้าชุดเขียวเดินกลับไปที่ท้องเรือด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลงมาที่ท้ายเรือ เอ่ยกับชายแปดคนที่นั่งเรียงกันเป็นสองแถวและออกแรงพายเรืออยู่ในเงามืดด้วยเสียงดังลั่น “ทุกคนออกแรงให้มากขึ้นหน่อย ผ่านช่องเขานี้ไปก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว”

เด็กหนุ่มห้าในแปดคนสบตากันเล็กน้อย สีหน้ายินดี

ก็เหมือนอย่างที่เขาบอกไว้ พอเรือพ้นช่องเขา เมืองหลวงแคว้นฉีอันแสนกว้างใหญ่ก็ปรากฏขึ้นให้เห็นอยุ่ตรงเบื้องหน้า

กระแสน้ำก็ค่อยๆ สงบลง เรือค่อยๆ จอดเทียบท่าที่ท่าเรือริมฝั่งนอกเมือง

ที่ท่าเรือมีเรือจอดเทียบท่าอยู่ไม่น้อย เมื่อพาดไม้กระดานเรือเสร็จ ทั้งคณะก็ทยอยลงเรือไป

บนท่าเรือมีสหายของพ่อค้าคอยอยู่ พ่อค้าชุดเขียวขึ้นฝั่งไปทักทายสหาย พูดคุยหัวเราะกัน

เด็กหนุ่มทั้งห้าที่เป็นฝีพายก็ลงมาจากเรือเช่นกัน เดินเข้าไปหาพ่อค้าชุดเขียว มีคนหนึ่งประสานมือกล่าวว่า “นายท่าน สมควรจ่ายค่าแรงให้พวกเราแล้วหรือเปล่าขอรับ?”

พ่อค้าชุดเขียวอารมณ์เสียเล็กน้อย หันไปหาคนงานคนหนึ่งแล้วตะโกนบอก “จ่ายค่าแรงให้พวกเขา”

คนงานคนนั้นกวักมือเรียกทันที “มาทางนี้”

“ขอบพระคุณนายท่าน” เด็กหนุ่มทั้งห้าประสานมือกล่าวขอบคุณ ก่อนจะเดินไปหาคนงานคนนั้น

เพียงแต่ผ่านไปไม่นานทั้งหมดก็กลับมาอีกครั้ง แต่ละคนถือพวงเหรียญเงินไว้ในมือ เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถาม “นายท่าน ตกลงกันไว้ว่าคนละห้าร้อยเหรียญเงินมิใช่หรือ? เหตุใดถึงมีแค่ร้อยเหรียญเงินเล่า”

พ่อค้าชุดเขียวกล่าวว่า “อาหารที่พวกเจ้ากินดื่มมาตลอดทางจะไม่ให้คิดเงินเลยหรือ?”

เด็กหนุ่มท้วงว่า “ตกลงไว้ว่ารวมอาหารและที่พักแล้วมิใช่หรือ?”

“ข้าว่าพวกเจ้าคงอยากมีเรื่องแล้วกระมัง?” พ่อค้าชุดเขียวยกมือไพล่หลังหัวเราะหยันคราหนึ่ง คนงานเจ็ดแปดคนที่อยู่บนเรือล้วนล้อมกรอบเข้ามา บางคนหยิบดาบขึ้นมาถือไว้ในมือ กำลังแสดงท่าทีข่มขู่อย่างชัดเจน

เด็กหนุ่มทั้งห้าคล้ายจะโมโหแต่ก็ไม่กล้าทักท้วง สุดท้ายเมื่อเผชิญกับการข่มขู่ จึงทำได้เพียงก้มหน้าเดินดุ่มๆ จากไปด้วยสีหน้าขุ่นเคือง มีเสียงหัวเราะเยาะดังแว่วขึ้นมา

กระทั่งเดินห่างออกมาจากคนกลุ่มนี้แล้ว เด็กหนุ่มทั้งห้าจึงสบตาส่งยิ้มให้กัน คนหนึ่งมองกำแพงเมืองอันสูงตระหง่านของเมืองหลวงที่อยู่ห่างออกไป เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นมาว่า “พอไปถึงป่าด้านหน้าแล้วทุกคนกระจายตัวเถอะ แยกกันออกไปสำรวจนอกประตูเมือง พยายามมองหาสัญลักษณ์ที่พวกลูกพี่ทิ้งไว้”

ทุกคนทำตามที่เขาพูด พอทั้งกลุ่มไปถึงตรงป่าที่อยู่ด้านหน้าก็กระจายตัวออกไป ส่วนเด็กหนุ่มที่ออกคำสั่งรั้งอยู่ในป่ารอทุกคนกลับมารวมตัว

หลังจากนั้นไม่นาน มีเสียงฝีเท้าม้าแว่วกุบกับมาจากเส้นทางหลวงที่อยู่ห่างออกไป เขาหันไปมอง เห็นม้าห้าตัวที่ถูกควบทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ยามที่ม้าทั้งห้าควบผ่านทางนี้ไป แววตาเด็กหนุ่มพลันเปล่งประกาย ลุกขึ้นตะโกนเรียกเสียงดัง “ต้าหย่ง! ต้าหย่ง…”

เด็กหนุ่มห้าคนที่ควบม้าผ่านไปหันมามองเล็กน้อย พากันรั้งบังเหียนหยุดม้าทันที จากนั้นต่างวกม้าวิ่งกลับมา พุ่งเข้าสู่ป่าด้านข้างแล้วกระโดดลงจากม้า ทั้งสองฝ่ายทักทายโห่ร้อง กอดคอกัน ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ไกลออกไปมีขบวนรถม้าเคลื่อนเข้ามา เด็กหนุ่มคนเดิมรีบส่งเสียง ‘ชู่ๆ’ ทันที สื่อว่าให้ทุกคนสะกดอารมณ์ตื่นเต้น อย่าให้คนสังเกตเห็นความผิดปกติ

เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าต้าหย่งตบไหล่เขาแล้วเอ่ยถาม “จ้าวหม่านชาง มาถึงเร็วกว่าพวกเราเสียอีก ลูกพี่ให้เจ้ามารอรับพวกเราอย่างนั้นหรือ?”

จ้าวหม่านชางเอ่ยยิ้มๆ “กลุ่มพวกเราก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน คนอื่นๆ ออกไปตามหาสัญลักษณ์อยู่”

ต้าหย่งมองไปรอบๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อมีคนออกไปตามหาแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็รออยู่ที่นี่เถอะ”

จ้าวหม่านชางมองม้าของพวกเขา เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พวกเจ้าขี่ม้ามาหรือ? เอาม้ามาจากไหน?”

ต้าหย่งกลับถามอย่างแปลกใจเช่นกัน “ในเขตทุ่งหญ้านี้พบเห็นม้าได้ทุกหนทุกแห่ง เจ้าว่าเอามาจากไหนล่ะ? ไม่ให้ขี่ม้าจะให้เดินมาหรือไง?”

จ้าวหม่านชางถามต่อ “ในเมื่อขี่ม้ามาแล้วทำไมถึงเพิ่งมาถึงล่ะ?”

คนหนึ่งเอ่ยพึมพำว่า “อย่าพูดถึงเลย ตอนอยู่ในแคว้นจ้าวถูกทหารกลุ่มหนึ่งจับตัวไป จับพวกข้าไปเป็นทหาร ต่อมาคิดหาทางหลบหนีออกมา เสียเวลาไปไม่น้อยเลย ไม่อย่างนั้นคงมาถึงนานแล้ว” จากนั้นก็ถามกลับไปว่า “หม่านชาง แล้วเจ้าล่ะ เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งมาถึงเหมือนกัน?”

จ้าวหม่านชางอึกอักไม่ยอมพูด

สุดท้ายเมื่อเผชิญแรงกดกันจากคนทั้งกลุ่ม เขาจึงจำเป็นต้องบอกไปตามจริง “ระหว่างเดินทางพบขบวนพ่อค้าเร่เข้า จึงไปรับจ้างทำงาน อาศัยติดมาด้วย”

มีบางคนเอ่ยดูแคลน “ไปรับจ้างทำงาน มีแรงมากจนไม่มีที่ใช้หรือไง วิธีนี้โง่เขลานัก”

จ้าวหม่านชางเอ่ยแย้งทันที “ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อความปลอดภัยนั่นแหละ พวกเราไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ทว่าขบวนพ่อค้าเดินทางกันเป็นประจำ ทุกคนคุ้นเคยกับเส้นทางดี ถึงเจอด่านตรวจก็มีวิธีผ่านไปได้ ระหว่างทางพวกเราก็เจอเหตุการณ์จับคนไปเป็นทหารเช่นกัน โชคดีที่มีขบวนพ่อค้าช่วยเปิดทางให้ มิเช่นนั้นเกรงว่าคงถูกจับไปเหมือนกัน”

พอเห็นเขายอมตกลงแล้ว เสมียนเกายิ้มออกมาทันที พยักหน้าหงึกๆ “เข้าใจแล้วขอบรับ จะไม่ปล่อยใครมาแอบขโมยสูตรของทางเราไปง่ายๆ แน่ เถ้าแก่วางใจได้ เดี๋ยวข้าจัดการเองขอรับ!”

หยวนกังหันหลังเดินจากไป

“เอ่อ…” เสมียนเกาพูดไม่ออก ยังอยากถามเรื่องรับคนงานกับเขาอยู่ แต่อุปนิสัยของเถ้าแก่คนนี้ เหมือนคนทำการค้าเสียที่ไหน เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินออกไป คิดว่าไว้คราวหน้าค่อยถามอีกทีแล้วกัน

…….

ท้องทะเลกว้างไพศาล คลื่นครามกระเพื่อมไหวไร้ขอบเขต

ชายสวมหมวกไผ่สานคนหนึ่งเหินย่ำไปตามผิวน้ำ หยุดนิ่งบนผิวน้ำแล้วมองสำรวจรอบข้างเป็นระยะ จนกระทั่งพบว่าด้านหน้ามีโขดหินโสโครกก้อนหนึ่งที่โผล่พ้นทะเลขึ้นมา เขาจึงเคลื่อนกายเข้าไป ร่อนลงบนนั้น

โขดหินมีขนาดประมาณโต๊ะห้าถึงหกตัว เมื่อถึงยามน้ำขึ้น คาดว่าคงจมอยู่ใต้น้ำทะเล

สภาพแวดล้อมเช่นนี้นับว่าอันตรายต่อเรือเดินสมุทรอย่างมาก ยามที่หินโสโครกจมอยู่ใต้น้ำจะมองไม่เห็นจากบนผิวน้ำ หากเรือชนเข้าคงอับปางได้ง่าย

ชายสวมหมวกไผ่สานยืนอยู่บนโขดหิน ทอดสายตามองไปรอบๆ ปลดกาสุราตรงเอวออกมาจิบเล็กน้อยเป็นครั้งคราว

ไกลออกไป เรือนเดินสมุทรลำหนึ่งปรากฏให้เห็นรางๆ ชายคนนั้นผงะไปเล็กน้อย จับตามองอยู่พักหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่ามุ่งหน้ามายังบริเวณนี้ เขาจึงรีบย่อตัวหลบซ่อนอยู่ด้านหลังโขดหินอย่างรวดเร็ว

หากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีหินโสโครกแล้วมีเรือมา เขาจะดำลงไปซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำทันที

หลังรอคอยอยู่พักใหญ่ เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ลำหนึ่งก็แล่นอ้อมแนวหินโสโครกที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยจั้ง มุ่งหน้าตรงไปเรื่อยๆ

ชายที่ซ่อนตัวอยู่หลังโขดหินมองตามทิศทางที่เรือมุ่งไป รีบถอดหมวกไผ่สานออกจากหัว วางกาสุราลงอย่างรวดเร็ว อาศัยโขดหินกำบังกาย เคลื่อนถอยหลังลงทะเลไปอย่างเงียบเชียบ มุดหายไปใต้น้ำ โคจรพลังเคลื่อนที่ใต้น้ำด้วยความรวดเร็ว

ในตอนที่โผล่ศีรษะขึ้นมาอีกครั้งก็มาถึงด้านล่างของท้ายเรือลำใหญ่แล้ว เขาเกาะท้ายเรือไว้ ไม่ได้ปีนขึ้นเรือไป ยังคงระแวดระวังอยู่ ห้อยอยู่ตรงท้ายเรือตามติดไปด้วยตลอดทาง บางครั้งก็ยื่นหน้าออกมาจากข้างท้ายเรือทั้งสองด้าน สังเกตการณ์ด้านหน้าของเรืออย่างเงียบๆ

ในช่วงเวลาพลบค่ำ คลื่นทะเลเปล่งประกายระยิบระยับ มองเห็นหินโครกที่ยื่นชูขึ้นมาจากผิวน้ำอยู่เป็นระยะๆ ด้านหน้ามีเกาะแห่งหนึ่ง

“นี่มันสถานที่บ้าบออันใดกัน?”

“คนเขาจ่ายเงินให้ พวกเรารับเงินแล้ว จะสนไปทำไมว่าเป็นสถานที่บ้าบออันใด”

“ข้าหมายถึงสถานที่แห่งนี้มีหินโสโครกอยู่มากมายเต็มไปหมด หากพลาดไปเพียงเล็กน้อยเรือของพวกเราอาจจะชนเข้าได้”

“แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรไม่ใช่เหรอ เส้นทางที่เขาให้มาตอนอยู่ที่ท่าเรือก็ใช้ได้นี่”

มีคนบนเรือกำลังสนทนากัน ชายที่เกาะท้ายเรือคลายมือออก ไม่ได้มุดลงไปใต้น้ำ แต่เคลื่อนกายไปยังด้านหลังโขดหินโสโครกที่อยู่ด้านข้างแล้วโผล่หน้าออกมาอีกครั้ง สังเกตสภาพแวดล้อมบนเกาะอย่างเงียบเชียบ เห็นเพียงว่ารอบเกาะมีเสากระโดงเรือเรียงรายแน่นขนัด มีเรือใหญ่จอดเทียบอยู่มากมาย ไม่สามารถนับได้ว่ามีอยู่เท่าไร

………………………………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า