ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 306

ตอนที่ 306 ผู้ทะนงตน

“หากเป็นเช่นนี้…” หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญพลางพึมพำ

“อะไรหรือ?” ลิ่งหูชิวเอ่ยถาม

หนิวโหย่วเต้าอธิบาย “ข้าหมายความว่ากลุ่มที่ไม่ได้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังน่าจะประมูลม้าทั้งหมดแสนตัวไปไม่ไหว เห็นทีคงต้องแบ่งประมูลไป”

ลิ่งหูชิวเอ่ยว่า “เราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้เลย เดี๋ยวคอยดูแล้วกันว่าทางฮ่องเต้จะจัดการอย่างไร”

ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว อีกทั้งไม่อาจสงบใจบำเพ็ญเพียรได้ ทั้งสองจึงพูดคุยหารือกันไปเรื่อย

พอถึงช่วงพลบค่ำ หงฟูจัดเตรียมสุราอาหาร หลังจากกินเสร็จฟ้าก็มืดแล้ว

หนิวโหย่วเต้าให้หงฝูทำกาวแป้งเปียกเล็กน้อย จากนั้นไปหากระดาษเหลืองจากห้องหนังสือมาสามสี่แผ่น ปลดโคมไฟดวงหนึ่งที่แขวนอยู่ใต้ชายคาลงมา นำกระดาษเหลืองไปติดไว้บนโคมไฟ ทำให้แสงสว่างที่แผ่ออกมาโคมไฟกลายเป็นสีเหลืองหม่น

“เอาไปแขวนไว้บนกิ่งไม้ต้นนั้น ต้องแขวนในจุดที่คนบนถนนด้านนอกสามารถมองเห็นได้” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังต้นไม้ที่สูงที่สุดด้านหน้าเรือน เอ่ยสั่งการประโยคหนึ่ง ยื่นโคมไฟในมือส่งให้หงฝูไป

หงฝูถือโคมออกไปจัดการตามเขาสั่ง

ลิ่งหูชิวที่ยืนเคียงกันอยู่ใต้ชายคาเอ่ยถามว่า “น้องหนิว นี่เจ้ากำลังส่งสัญญาณให้ผู้ใดอยู่กระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าตอบอืม “ส่งให้พวกเฮยหมู่ตาน”

ลิ่งหูชิวแปลกใจ “พวกนางจากไปแล้วมิใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างคลุมเครือ “มีแผนอื่นเตรียมไว้”

ความจริงแล้วเป็นการส่งสัญญาณให้หยวนกัง หากวันนี้เผยซานเหนียงไม่มา เขาจะแขวนโคมไฟสีขาว แปลว่าให้ลงมือได้เลย แต่โคมไฟสีเหลืองแปลว่าให้ยั้งมือไว้ชั่วคราว

เขาอยากจะพบหน้าหยวนกังมากกว่า แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่อาจทำเช่นนั้นได้ มีคนจับตามองมากเกินไป หากทำให้หยวนกังถูกเปิดโปงเข้า หยวนกังจะตกอยู่ในอันตราย

ที่ไล่พวกเฮยหมู่ตานออกไปก่อนล่วงหน้า ในแง่หนึ่งแล้วก็ถือเป็นการปกป้องหยวนกังด้วย ทันทีที่เกิดการวางเพลิงเมืองหลวง อาจจะมีคนสงสัยว่าเป็นฝีมือเขา เป้าหมายแรกที่จะถูกสงสัยย่อมเป็นลูกน้องของเขา พวกเฮยหมู่ตานที่หายตัวไปแล้วจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ขอเพียงถ่วงเวลาให้หยวนกังได้มากพอ เขาเชื่อว่าหยวนกังมีความสามารถพอจะเก็บกวาดหลักฐานให้หมดจดได้

บนเขาสูง ท้องนภาดาษหมู่ดาวราวกับอยู่เพียงเอื้อม ทำให้คนรู้สึกอยากยื่นมือออกไปไขว่คว้า

ด้านหนึ่งของภูเขาคือแสงไฟจากบ้านเรือนนับหมื่นหลังในเมืองหลวง ส่วนอีกด้านหนึ่งคือท้องนภาดาษหมู่ดาวเหนือทุ่งหญ้า สายลมโชยแผ่วเบา

บุรุษชุดแดงคนหนึ่งยืนมือไพล่หลังอยู่ริมเชิงผา ทอดสายตามองแสงไฟในเมืองหลวงและดวงดาวพราวระยับ

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งงามสง่า หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ดวงตาทอแววทะนงตนอยู่หลายส่วน แต่เขาก็มีสิทธิ์ให้ทะนงตนจริงๆ เขาคือคุนหลินซู่หัวกะทิรุ่นเยาว์ของสำนักเพลิงนภา ในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกันไม่มีผู้ใดเทียบเขาได้

สาวงามในชุดกระโปรงแดงนางหนึ่งเหินละลิ่วลงมา ค่อยๆ ร่อนลงมาจากบนอากาศ ร่อนลงข้างกายคุนหลินซู่ นางมีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร จ้องมองคุนหลินซู่ด้วยดวงตาสุกสกาว เอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มนวล “ศิษย์พี่ กำลังคิดอะไรอยู่?”

นางมีนามว่าเนี่ยอวิ๋นซาง หรือที่คนเรียกกันว่า ‘หั่วเฟิ่งหวง[1]’ เป็นศิษย์หัวกะทิอีกคนในรุ่นนี้ของสำนักเพลิงนภา มีความสัมพันธ์แบบกึ่งสามีภรรยากับคุนหลินซู่ เนื่องจากทั้งสองหมั้นหมายกันแล้ว

คุนหลินซู่หันไปมองนางพลางอมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นหันกลับไปมองแสงไฟในเมือง เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าสภาวะของหนิวโหย่วเต้ายังอยู่ในระดับสร้างฐานเช่นกัน เจ้าคิดว่าระหว่างข้ากับเขาผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน?”

หั่วเฟิ่งหวงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนปลิ้นปล้อนผู้หนึ่งไหนเลยจะเทียบชั้นกับศิษย์พี่ได้ สภาวะของพวกเราสองศิษย์พี่น้องใกล้จะทะลวงสู่ระดับโอสถทองแล้ว เขาจะมาเทียบได้อย่างไร”

คุนหลินซู่เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าในบรรดาผู้อาวุโสของสำนักเรามีสักกี่คนที่สามารถเอาชนะจั๋วเชาได้?”

หั่วเฟิ่งหวงเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “อันสิ่งที่เรียกว่าทำเนียบโอสถ ศิษย์พี่เคยเห็นคนจากสำนักที่มีตำแหน่งในหอเลือนสลัวมีชื่อติดอยู่บนทำเนียบโอสถกี่คนกันเล่า ไม่ควรให้ค่าเลย จั๋วเชาไหนเลยจะเทียบชั้นได้ สำนักเพลิงนภาของพวกเราย่อมมีคนที่สามารถเอาชนะจั๋วเชาอยู่นับไม่ถ้วน”

คุนหลินซู่เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าหากข้าท้าประลองกับหนิวโหย่วเต้า ข้าจะเอาชนะเขาได้หรือไม่?”

“……” หั่วเฟิ่งหวงผงะไป จากนั้นจึงเอ่ยเตือน “ศิษย์พี่ ท่านอย่าก่อเรื่องเลย ทางฝั่งองค์ฮ่องเต้ยังต้องการใช้งานหนิวโหย่วเต้าในการเก็บกวาดความวุ่นวายในเมืองหลวงอยู่ เรื่องนี้ก็เป็นผลดีต่อสำนักเพลิงนภาของพวกเราเช่นกัน ผู้คนมากหน้าหลายตาทำให้สำนักเพลิงนภาต้องคอยพะวงหลายทาง หากทำเสียเรื่องขึ้นมา เรื่องศักดิ์ศรีหน้าตาของฮ่องเต้ล้วนเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น แต่หากทำให้พวกอาจารย์ไม่พอใจล่ะก็ แบบนั้นต้องแย่แน่”

คุนหลินซู่เอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี ข้าเพียงอยากเห็นหนิวโหย่วเต้าผู้สังหารจั๋วเชาคนนั้นสักครั้ง ข้าเคยไปที่ลานน้ำตกเหินหาวมาแล้วแต่ก็ไม่พบ หวังว่าการไปที่ทะเลสาบส่องนภาในวันพรุ่งนี้จะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวังอีก!”

“ศิษย์พี่…”

หั่วเฟิ่งหวงยังไม่ทันได้พูดจบ คุนหลินซู่ก็ยกมือปรามพร้อมเอ่ยตัดบท “ข้าแค่อยากไปดูเท่านั้น อาจารย์เองก็ให้ข้าไปสังเกตการณ์งานประมูลวันพรุ่งนี้เช่นกัน หากเกิดเรื่องขึ้นจะได้รายงานต่อสำนักได้ทันท่วงที”

หั่วเฟิ่งหวงเงียบไปเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ พรุ่งนี้พาข้าไปด้วย”

คุนหลินซู่หันไปมอง เห็นนางส่งยิ้มให้จึงค่อยๆ ยื่นมือไปกุมมือเรียวลออของนางไว้

หั่วเฟิ่งหวงค่อยๆ เอนซบข้างกายเขา ศีรษะพิงลงที่ไหล่ของเขา เผยสีหน้าคาดหวังตั้งตารอออกมาเล็กน้อย พึมพำว่า “ยังต้องรอไปอีกค่อนปีเชียวหรือ”

คุนหลินซู่ทราบดีว่านางหมายถึงงานวิวาห์ของพวกเขาสองคน แต่ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวเขาอยู่เป็นระยะกลับเป็นเหตุการณ์ช่วงที่เข้าเวรในวังหลวงวันนี้

ระหว่างที่ฮ่องเต้เสด็จผ่าน บังเอิญเห็นเขาเข้าพอดี ทรงเอ่ยถามว่าหนิวโหย่วเต้าที่สังหารจั๋วเชาได้คนนั้นแข็งแกร่งแค่ไหนกัน?

เขาตอบไปว่าไม่เคยพบพาน ไม่ทราบถึงความสามารถ ยากจะวิจารณ์ได้

ฮ่องเต้ถามเขาต่อว่า หากนำมาเทียบกับเจ้าจะเป็นอย่างไร?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า