ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 342

ตอนที่ 342 ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว

ท้องทะเลมืดมิด พายุฝนพัดโถม ลมกระโชกคลื่นสูง

หลังจากพายุฝนผ่านพ้นไป เมฆคลี่คลายหมอกสลายตัว แสงจันทร์สาดส่องลงมายังพื้นผิวทะเลที่ค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง

สภาพอากาศแปรปรวนในท้องทะเลเช่นนี้ มาเร็ว ไปก็เร็ว

จู่ๆ ก็มีแสงเพลิงเจิดจ้าส่องสว่างบนเกาะทะเล คบเพลิงเคลื่อนที่ขึ้นเรือไปอันแล้วอันเล่า เรือแต่ละลำค่อยๆ เริ่มเคลื่อนตัวออกจากเกาะ

….

ณ เรือนเมฆาขาว ภายในห้องรับรองส่วนตัวที่หรูหราเงียบสงบ เว่ยฉูนั่งจิบสุราเพียงลำพัง

เขาก็เป็นแขกประจำของแหล่งเริงรมย์แห่งนี้เช่นกัน

ประตูเปิดออก ฉินเหมียนเดินเข้ามาพลางเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “เว่ยเหยี่ย ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นท่านมาเยือนเลยนะเจ้าคะ”

นางหันไปปิดประตู จากนั้นเดินมานั่งลงข้างกายเว่ยฉู รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไปทันที

“มีเรื่องด่วนอะไรถึงเรียกข้ามาคุย?” เว่ยฉูกระซิบถาม

ฉินเหมียนช่วยรินสุราให้เขาพลางกระซิบตอบ “เจ้าจะสังหารหนิวโหย่วเต้าอย่างนั้นหรือ?”

เว่ยฉูหันมามอง เอ่ยถาม “มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเหมียนตอบว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือ เบื้องบนจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้คือหลบหายไปสักระยะ”

เว่ยฉูขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใด?”

ฉินเหมียนกล่าวว่า “พูดให้ถูกคือต้องการให้เจ้าแกล้งตายสักระยะ หากเจ้าไม่ตายหนิวโหย่วเต้าจะไม่ยอมออกจากเมืองหลวง ทำให้ลงมือไม่ได้”

เว่ยฉูเงียบไปครู่หนึ่ง “หากข้าแกล้งตายแล้วจะอธิบายกับทางจินอ๋องอย่างไร?”

ฉินเหมียนตอบว่า “เรื่องนี้แล้วแต่เจ้าจะจัดการเลย เจ้ารู้จักจินอ๋องดีกว่าพวกเราทุกคน”

เว่ยฉูพยักหน้ารับ แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี อดไม่ได้ที่จะถามออกไป “เหตุใดจู่ๆ เบื้องบนถึงคิดจะช่วยจัดการหนิวโหย่วเต้าให้ข้า?”

ฉินเหมียนส่ายหน้า “เจ้าก็รู้กฎดี บุคคลและเรื่องราวที่มีโอกาสเกี่ยวพันไปถึงภายในองค์กรจะได้รับการป้องกันเอาไว้ อย่าได้ถามเรื่องที่ไม่สมควรถาม ทำนองเดียวกัน ข้าเพียงรับหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งของเบื้องบนต่อเจ้า เบื้องบนก็ไม่ได้บอกเล่าต้นสายปลายเหตุต่อข้าเช่นกัน ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นมาอย่างไร พวกเราปฏิบัติไปตามคำสั่งก็พอแล้ว!”

นางไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดจู่ๆ เบื้องบนถึงต้องการลงมือกับหนิวโหย่วเต้า

เว่ยฉูถอนใจ เอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง “มาอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว ข้าไม่เคยได้พบท่านหัวหน้าเลย ช่วยติดต่อให้ข้าได้เข้าพบได้หรือไม่”

ฉินเหมียนตอบกลับว่า “ไม่ได้! ภาระหน้าที่ของเจ้าสำคัญมาก เพื่อช่วยสนับสนุนให้น้องสาวของเจ้าได้ครอบครองตำแหน่งนั้นและเพื่อทำให้เจ้าได้แทรกซึมเข้าไปสู่จวนจินอ๋อง เบื้องบนต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย ตัวตนของเจ้าเป็นความลับสุดยอด จะปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ต้องติดต่อสื่อสารผ่านทางข้าเท่านั้น ท่านหัวหน้าก็ไม่ทราบถึงการมีอยู่ของตัวเจ้า ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวเจ้า แล้วก็เพื่อปกป้องเจ้าด้วย! หลายมานี้ข้ารั้งอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมาตลอด ไม่ได้โยกย้ายไปไหน นั่นก็เพื่อคอยปกป้องและประสานงานกับเจ้า นี่คือภารกิจหลักของข้า เบื้องบนไม่ต้องการให้มีบุคคลที่สองมารับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเจ้า!”

ระยะเวลาที่นางและเว่ยฉูมาอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีล้วนยาวนานกว่าซูจ้าว อีกทั้งเว่ยฉูและซูจ้าวต่างก็ไม่ทราบถึงตัวตนของกันและกัน

“ตกลง!” เว่ยฉูพยักหน้ารับอย่างจนปัญญา ลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “ข้าจะกลับไปใคร่ครวญเรื่องนี้อีกสักหน่อย หากไม่มีเรื่องอื่นแล้วข้าขอตัวก่อน”

ฉินเหมียนยื่นมือไปกดบ่าเขาไว้ ดันให้เขานั่งลง “มาแล้วก็อย่าได้ทำให้คนนึกสงสัย ข้าจะช่วยเรียกแม่นางมาให้เจ้าสองคน เจ้าผ่อนคลายสักหน่อยแล้วค่อยไปแล้วกัน”

หลังจัดการทางนี้เสร็จ ฉินเหมียนก็กลับไปที่เรือนด้านหลัง มุ่งหน้าไปที่ห้องของซูจ้าว

ซูจ้าวกำลังผลัดอาภรณ์อยู่ พอเห็นนางเข้ามาก็เอ่ยถาม “เตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือ?”

ฉินเหมียนเอ่ยตอบ “เตรียมพร้อมหมดแล้วเจ้าค่ะ นายหญิง อันที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเองเลย สิ่งที่ควรเตรียมก็เตรียมเสร็จหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ท่านต้องไปดูด้วยตัวเองเลยเจ้าค่ะ”

ซูจ้าวเอ่ยว่า “ไม่ได้ หากไม่ได้เห็นม้าศึกทั้งหมดในรอบนี้ขึ้นเรือไปอย่างปลอดภัยด้วยตาตัวเอง ข้ารู้สึกไม่สบายใจจริงๆ!”

ยามที่ทั้งสองออกมาจากในห้อง ซูจ้าวได้ปลอมตัวเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง

พอลงมายังมุมอับลับตามุมหนึ่ง ฉินเหมียนก็ผลักภูเขาจำลองลูกเล็ก เผยให้เห็นโพรงที่เต็มไปด้วยน้ำ ดูเหมือนบ่อน้ำไม่มีผิด

ซูจ้าวมุดลงไปในอุโมงค์วารี หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย

ฉินเหมียนรออยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนภูเขาจำลองกลับคืนตำแหน่ง ซ่อนปากอุโมงค์วารีไว้

…..

ภายในตรอก เรือนน้อยหลังหนึ่งที่ดูเหมือนบ้านปกติทั่วไป ลิ่งหูชิวเดินมาถึงประตูของเรือนเล็กพลางมองสำรวจเล็กน้อย จากนั้นยกมือเคาะประตูดังก๊อกๆ

เห็นได้ชัดว่ามีคนมองลอดรอยแยกประตูออกมาด้านนอกเล็กน้อย จากนั้นประตูเรือนก็ถูกเปิดอย่างรวดเร็ว หงซิ่วโผล่หน้าออกมา เอ่ยด้วยความดีใจ “นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว”

ลิ่งหูชิวไม่พูดอะไร เดินเข้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ท่าทีของเขาทำให้หงซิ่วใจฝ่อเป็นอย่างยิ่ง

“นายท่าน” หงฝูที่ได้ยินเสียงออกมาต้อนรับ ทว่าไม่ได้รับการตอบกลับ แต่กลับรับเอากรงปีกทองที่ลิ่งหูชิวยื่นมาให้เข้าสู่อ้อมแขนแทน

สองพี่น้องสบตากันเล็กน้อย เดินตามเข้าไปในห้องโถง หงซิ่วเทน้ำรินชาให้อย่างรวดเร็ว

ลิ่งหูชิวเดินมานั่งลงในตำแหน่งเจ้าบ้านพลางโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว มาคุยเรื่องงานเถอะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า