ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 350

ตอนที่ 350 กุ่ยหมู่

“ควรแค้นข้าหรือไม่ข้าก็ตอบไม่ได้ ให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เถอะ!”

นี่คือคำตอบที่หนิวโหย่วเต้ามอบให้นาง

จากนั้นหนิวโหย่วเต้าให้คนไปเรียกเฟิงเอินไท่มา เรียกมาพบกันที่ห้องหนังสือของก่วนฟางอี๋ เชิญมาคุยกันหน้าแผนที่

“กลับจังหวัดชิงซาน?” เฟิงเอินไท่แปลกใจระคนตกใจ “เรื่องม้าศึกยังไม่ได้ข้อสรุป พวกเราจะกลับไปเช่นนี้ได้อย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ไม่ใช่พวกเรา เป็นพวกท่านต่างหาก พาศิษย์สำนักหยกสวรรค์ของพวกท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะอยู่จัดการเรื่องม้าศึกทางนี้เอง”

เฟิงเอินไท่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร พวกเราเป็นพี่น้องกันแล้ว พี่ใหญ่อย่างข้าจะทิ้งให้เจ้าแบกรับภาระในเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”

วาจานี้เขาเพียงพูดไปตามมารยาทเท่านั้น หากว่ามีทางเลือกอื่น เขาก็คงจะไม่ยอมเสียเวลาอยู่ต่อไปเช่นนี้เหมือนกัน

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านเคยบอกเองว่าเรื่องม้าศึกจะเชื่อฟังข้า!”

“นี่…” เฟิงเอินไท่ลังเล เอ่ยถามด้วยความฉงน “เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร?”

“อย่าถามเลย พวกท่านไปก่อนเถอะ ทั้งยังต้องไปอย่างเงียบๆ ด้วย ปิดเป็นความลับ…” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกำชับอย่างละเอียด

เฟิงเอินไท่ไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไรกันแน่ แต่อำนาจตัดสินใจขึ้นอยู่กับอีกฝ่าย เขาคัดค้านไม่ได้ ประกอบกับไม่จำเป็นต้องลงมือทำอะไรเลย แค่ต้องการให้เขากลับจังหวัดชิงซานไปเท่านั้น สุดท้ายจึงตอบตกลง

หลังเฟิงเอินไท่ออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่หน้าแผนที่ จ้องมองแผนที่อย่างเงียบๆ

มีเพียงตัวเขาที่รู้แก่ใจดี หอจันทร์กระจ่างสังหารเว่ยฉูเพื่อล่อให้เขาออกจากเมืองหลวง ทันทีที่เขาออกจากเมืองหลวง ไม่ว่าลิ่งหูชิวจะลงมือกับเขาหรือไม่ แต่หอจันทร์กระจ่างจะต้องดักโจมตีเขาระหว่างทางแน่นอน เขาจะปล่อยให้หอจันทร์กระจ่างทราบทิศทางที่ตนจะมุ่งหน้าไปไม่ได้

ศิษย์สำนักหยกสวรรค์เป็นเพียงเหยื่อล่อตบตาอีกฝ่ายเท่านั้น

ทันทีที่หอจันทร์กระจ่างสืบพบว่าเขาออกจากเมืองหลวงไป พวกเขาจะต้องสั่งให้สายลับทั้งหมดดำเนินการแน่ เขาไม่รู้ว่าหอจันทร์กระจ่างวางกำลังไว้ในแคว้นฉีมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งไม่ทราบด้วยว่าเฟิงเอินไท่จะพาเหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์หลบหนีจากสายลับของหอจันทร์กระจ่างสำเร็จหรือไม่ เพราะว่าเป็นคนกลุ่มใหญ่ ดึงดูดสายตาคนได้ง่าย เขาจึงกำชับให้เฟิงเอินไท่แปลงโฉมปลอมตัวจากไปเงียบๆ

ต่อให้หอจันทร์กระจ่างจะไม่พบร่องรอยของสำนักหยกสวรรค์ เขาก็จะเผยร่องรอยของพวกเฟิงเอินไท่ออกไปเอง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของหอจันทร์กระจ่าง พยายามล่อให้กองกำลังของหอจันทร์กระจ่างที่กระจุกอยู่ในแคว้นฉีออกไปตามล่าพวกเฟิงเอินไท่ เช่นนี้ถึงจะลดแรงกดดันและอันตรายทางตนไปได้มาก แล้วก็จะเป็นการซื้อเวลาเพื่อให้ตนได้หลบหนีด้วย

เขารู้ดีว่าทำเช่นนี้เท่ากับส่งเหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์ไปตายและเท่ากับส่งเฟิงเอินไท่ไปตายด้วย

เมื่อเผชิญภัยใหญ่หลวงอย่างหอจันทร์กระจ่าง หนิวโหย่วเต้าทราบดีว่าไม่มีทางพาทุกคนหนีรอดปลอดภัยไปทุกคนได้ จำเป็นต้องมีคนทิ้งชีวิตไว้ในแคว้นฉีอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะให้ผู้ใดเสียสละนั้นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจลำบากนัก

จำเป็นต้องให้ก่วนฟางอี๋ช่วยเรื่องทางฝั่งกุ่ยหมู่อยู่ หากเลือกสละคนของสวนไม้เลื้อย ก่วนฟางอี๋ต้องคัดค้านเป็นคนแรกแน่

พวกเฮยหมู่ตานและกงซุนปู้ ตลอดจนศิษย์ของสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสอยู่ไกลออกไปจากที่นี่แล้ว ซ้ำยังเป็นพรรคพวกฝั่งเขาทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ผู้ใดจะเป็นเป้าหมายที่ต้องเสียสละ มันก็คล้ายจะตัดสินใจไม่ยากแล้ว

ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ในสวนไม้เลื้อยทำการอพยพอย่างรวดเร็ว แยกย้ายกันหลบหนี หลังจากแปลงโฉมเสร็จก็ทยอยออกจากสวนไม้เลื้อยไปอย่างเงียบเชียบ

สมาชิกของสวนไม้เลื้อยก็ทำการอพยพออกไปเป็นกลุ่มๆ เช่นกัน หลังจากแปลงโฉมเรียบร้อยก็เดินทางหลบหนีไปโดยใช้อุโมงค์ลับของก่วนฟางอี๋ สมาชิกส่วนใหญ่ในสวนไม้เลื้อยก็เพิ่งทราบเอายามนี้ว่ามีอุโมงค์ลับเช่นนี้อยู่ในสวนไม้เลื้อยด้วย

ส่วนหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ก็ออกไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวงด้วยกันเพื่อดึงดูดความสนใจให้ทุกคนได้อพยพหลบหนี…

ณ เขาลับแล เขตหวงห้ามสำหรับชนเผ่าในทุ่งราบ

ที่นี่ทำปศุสัตว์ไม่ได้ ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้มีเมฆครึ้มปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบออกมาจากหมู่เมฆดำทะมึน บางครั้งก็มีฟ้าผ่าลงมาลงบนเขาศิลาที่เรียวแหลมขรุขระเหมือนคมเขี้ยวที่ไขว้ตัดกัน เกิดเสียงดังกึกก้องสะท้อนไปในหุบเขา

เมื่อไม่มีแสงแดด ต้นหญ้าไม่เติบโต แล้วจะทำปศุสัตว์ได้อย่างไร?

เป็นพื้นที่แห้งแล้งกันดารมืดครึ้มแปลกประหลาด บรรยากาศมืดมนปกคลุมอยู่ตลอดปี มีเมฆครึ้มรวมตัวกันอยู่เหนือนภา ไอหยินปกคลุมไปทั่วพื้นที่ราวกับหลุมดำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งบนโลกมนุษย์ ภูมิประเทศด้านในสลับซับซ้อน เส้นทางเคี้ยวคดลดเลี้ยวขึ้นบนลงล่างไปสารพัด ไม่รู้เลยว่าจะนับเป็นเส้นทางได้หรือไม่ เพราะเชื่อมต่อไปสู่โพรงมืดมิดที่มีรูปร่างแปลกประหลาดสารพัดขนาดแตกต่างกันไป

พอฝนตกฟ้าคะนอง น้ำฝนจากรอบข้างจะไหลบ่าลงสู่หลุมดำ หลั่งไหลลงสู่ธารน้ำใต้ดิน

บนเรือลำหนึ่งที่โครงเรือสร้างขึ้นจากกระดูกสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ บริเวณหัวเรือและท้ายเรือมีผู้บำเพ็ญผีใบหน้าขาวซีดยืนคุมอยู่จุดละคน เหล่าปายืนอยู่ตรงกลางพลางกวาดตามองไปรอบๆ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาที่นี่

เขาเฝ้ารออยู่ในละแวกเขาลับแลมานานแล้ว หลังจากได้รับคำสั่งจากก่วนฟางอี๋ก็เข้ามาทันที

รอบข้างมีเพลิงวิญญาณสีเขียวมันวาวล่องลอยโผล่เข้ามาเป็นครั้งคราว เกิดเงาสะท้อนบนผิวน้ำ

แล้วก็ยังมีวิญญาณที่ปราณยังไม่แก่กล้าล่องลอยอยู่ด้วย อาภรณ์โบกพลิ้วไปตามการล่องลอย ครวญเพลงเสียงแผ่วโหย ดั่งร่ำไห้คล้ายคร่ำครวญ

มีหินย้อยงอกลงมาจากด้านบนเหมือนหน่อไม้ มีน้ำไหลหยดลงสู่สายน้ำ เสียงน้ำหยดแว่วกังวานคล้ายแฝงพลังทะลุทะลวงไว้ ราวกับมีพลังลึกลับกำลังโจมตีจิตวิญญาณอยู่

เรือกระดูกเข้าเทียบฝั่ง ผู้บำเพ็ญผีอีกตนหนึ่งก้าวขึ้นบันไดไป พลางเชิญเหล่าปาให้ตามเขามา

ตะเกียงไฟสัมฤทธิ์ที่เปลวไฟไหววูบวาบถูดจัดวางไว้เป็นคู่ตลอดสองฝั่งบันไดที่ทอดยาวเข้าสู่ปากโพรงโครงกระดูกมืดมิดด้านบน

ผู้นำทางหยุดลงหน้าปากโพรงโครงกระดูก ให้เหล่าปาเดินต่อไปเพียงคนเดียว เข้าสู่ตำหนักใต้ดินหลังหนึ่ง

หลังจากเดินผ่านความมืดมิดมาระยะหนึ่ง ด้านหน้าปรากฏแสงไฟสีเขียวเรืองๆ เมื่อเดินไปจนสุดทางก็พบว่าอยู่ในโถงตำหนักหลังหนึ่ง

ภายในโถงมีกระถางไฟอยู่เก้าใบ จัดวางไว้สองฝั่งซ้ายขวาฝั่งละสี่ใบ ส่วนใบที่ตั้งอยู่ตรงกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด ไฟวิญญาณสีเขียวเรืองส่องสว่างไปทั่ว ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ในห้องโถงล้วนถูกปกคลุมด้วยแสงสีเขียว แสงสีเขียวมีความทึบสูงทำให้มองเห็นลวดลายที่สลักไว้บนผนังรอบข้างไม่ชัดเจน

เหล่าปาหยุดอยู่ภายในห้องโถง มองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้า ไม่มีผู้ใดเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า