ตอนที่ 351 ลิ่งหูชิวติดกับ
จะถอยก็ถอยไม่ได้ จะหนีก็หนีไม่รอด
ลิ่งหูชิวตระหนกสับสน ความคิดสารพัดผุดขึ้นมาในใจ ไม่กล้ามั่นใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นคือตนเผชิญปัญหาใหญ่เข้าแล้ว!
กลุ่มคนเบื้องหน้านี้เป็นกองกำลังที่มีอำนาจที่สุดในแคว้นฉี ไม่ใช่คนที่เขาจะต่อต้านได้ และถึงเขาต่อต้านไปก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ เขารู้ดีว่าตนมีเพียงสองตัวเลือกเท่านั้น ถ้าไม่ฆ่าตัวตายก็ต้องยอมเชื่อฟัง!
หลังจากรวมตัวเข้าปิดล้อมเขาไว้แล้ว ศิษย์จากสามสำนักใหญ่ก็หยุดฝีเท้า ไม่ได้รุกคืบเข้าไปอีก
ลิ่งหูชิวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วจะยอมฆ่าตัวตายง่ายๆ ได้อย่างไร เขาหันไปเผชิญหน้ากับขันทีคนนั้น ประสานมือพลางเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีนามอันทรงเกียรติว่ากระไร?”
ขันทีร่างกำยำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ”
ลิ่งหูชิวชี้คนที่ปิดล้อมอยู่รอบๆ พลางเอ่ยถาม “แล้วผู้น้อยกระทำความผิดใดหรือ?”
ขันทีร่างกำยำกล่าวว่า “เจ้ามีความผิดหรือไม่ ข้าไม่รู้”
ลิ่งหูชิวเอ่ยถาม “เช่นนั้นผู้น้อยก็ไม่เข้าใจว่านี่เป็นเรื่องใดกันแน่ หรือว่าเมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีขื่อมีแปเสียแล้ว?”
ขันทีร่างกำยำกล่าวว่า “เจ้าจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ข้าทำงานไม่จำเป็นต้องยึดกฎหมายอันใด ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น!”
“…..” อีกฝ่ายว่ามาเช่นนี้ ลิ่งหูชิวยังจะพูดอะไรได้อีก มองจากท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว เขาพอจะเดาได้รางๆ แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังรออะไรอยู่
ขันทีหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นนอกประตูสวน พยักหน้าให้ทางนี้เล็กน้อย
“มีเรื่องบางอย่างอยากจะสอบถามเจ้า รบกวนไปกับข้าด้วย!” ขันทีร่างกำยำส่งสัญญาณมือ
คนที่ปิดล้อมอยู่รุกคืบเข้ามาหาลิ่งหูชิวทันที
ลิ่งหูชิวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะต่อต้านก็ไม่ได้ จะคล้อยตามก็ไม่ดี
ขณะที่กำลังลังเลอยู่ พลันมีคนสองคนก้าวเข้ามาลงผนึกบนร่างเขา คุมตัวเขาเดินออกไปด้านนอก
ขณะที่ถูกจับมัดมือคุมตัวไว้ ในสมองลิ่งหูชิวยังคงคิดหาทางรับมืออยู่ แต่เห็นว่าด้านหน้ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา ลากคนสองคนเข้ามาด้วย สตรีสองคนที่สลบเป็นตายอยู่ก็คือหงซิ่วและหงฝู!
ลิ่งหูชิวตกใจเป็นอย่างมาก ตุบ! ท้ายท้อนพลันถูกกระแทกอย่างรุนแรง เบื้องหน้ามืดมิดลง หมดสติไปในทันที
ขันทีร่างกำยำจ้องมองลิ่งหูชิวที่ศีรษะห้อยพับ เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “คุมตัวเอาไว้อย่างลับๆ ห้ามปล่อยให้มีข่าวรั่วไหลออกไป!”
….
บนทุ่งใหญ่กว้างใหญ่ ต้นหญ้าไหวลู่ไปตามแรงลม หนิวโหย่วเต้า ก่วนฟางอี๋ สวี่เหล่าลิ่ว ลุงเฉินและเสิ่นชิว คณะห้าคนควบม้าทะยานไป
สวนคนอื่นๆ ในสวนไม้เลื้อย หนิวโหย่วเต้าไม่ยอมให้ก่วนฟางอี๋พามาด้วย หากมีคนมากจะสะดุดตาเกินไป รวมกลุ่มกันแล้วอาจจะไม่ปลอดภัย จึงให้แยกย้ายกันไป โดยบอกจุดหมายปลายทางให้ทราบ ให้พวกเขาแยกกันเดินทางไปยังจังหวัดชิงซาน
ส่วนพวกเขาห้าคนล้วนแปลงโฉมปลอมตัวกันทั้งสิ้น หนิวโหย่วเต้าเปลี่ยนไปเป็นชายไว้หนวดไว้เคราคนนั้นอีกครั้ง ก่วนฟางอี๋ก็แต่งตัวเป็นบุรุษเช่นกัน
ลิ่งหูชิวจะมาหาที่สวนไม้เลื้อยทุกวันเพื่อสอบถามว่าจะไปพบเฮ่าอวิ๋นถูเมื่อไร เมื่อวานหลังจากอยู่พบหน้าลิ่งหูชิวเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาก็รอจนถึงช่วงพลบค่ำแล้วออกจากเมืองมาอย่างเงียบเชียบก่อนที่ประตูเมืองจะปิด
พวกเขาห้าคนเรียกได้ว่าเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากสวนไม้เลื้อย อยู่เพื่อดึงดูดความสนใจ ให้คนอื่นๆ ได้อพยพไปอย่างราบรื่น
ตั้งแต่พลบค่ำเมื่อวานจนถึงตอนนี้ ทั้งห้าเดินทางมาตลอดโดยไม่หยุดพัก เร่งเดินทางตลอดทั้งคืนจนพ้นจากเมืองหลวงมาไกลแล้ว
ทุ่งหญ้าแห่งนี้ต่างไปจากที่อื่น มีถนนทอดไปทุกทิศทาง เช่นนี้หากคิดจะจับทิศทางว่าพวกเขาไปไหนก็ทำได้ยาก!
ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ก่วนฟางอี๋แทบจะไม่พูดอะไรเลย เห็นได้ชัดว่าการออกจากสวนไม้เลื้อยและการออกจากเมืองหลวงแคว้นฉีมาเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของก่วนฟางอี๋อย่างรุนแรง
หนิวโหย่วเต้านอกจากคอยบอกทางแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน อารมณ์ของเขาก็ไม่สู้ดีเหมือนกัน สาเหตุก็มาจากหยวนกัง!
พวกเขาไม่รู้ว่าทางเมืองหลวงแคว้นฉีท้องฟ้าแจ่มใสหรือไม่ แต่ท้องฟ้าของที่นี่มืดครึ้มอึมครึม ยิ่งส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของคนไปใหญ่
ปีกทองตัวหนึ่งร่อนลงมาจากขอบฟ้า เสิ่นชิวยื่นมือออกไปรับ หลังจากดึงจดหมายลับออกมา ก็ควบม้าเข้าไปหาหนิวโหย่วเต้าแล้วรายงานข่าว
ทั้งกลุ่มมุ่งขึ้นสู่เนินเขา มองเห็นเพียงสุดขอบฟ้าที่มีเมฆครึ้มปกคลุม แสงแดดหลายสายส่องลอดเมฆครึ้มลงมายังพื้นดิน ต้นหญ้าเขียวขจีไหวลู่ตามลมดั่งระลอกคลื่น แม่น้ำคดเคี้ยวสายหนึ่งดูราวกับแถบแพรส่องแสงเลื่อมพราว มองเห็นฝูงวัวฝูงแกะเล็มหญ้าอยู่รางๆ ฉากงดงามตระการตามองแล้วน่าประทับใจเหลือเกิน!
ดวงตาก่วนฟางอี๋ฉายแววตกตะลึง ภาพที่อยู่ตรงเบื้องหน้างดงามนัก ซ้ำยังกว้างไกลไร้ขอบเขตถึงเพียงนั้น คล้ายฉุดดึงนางออกมาจากอารมณ์หม่นหมองได้ในชั่วพริบตา ทำให้นางรู้สึกตื้นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว!
ผ่านมากี่ปีกันแล้วนะ! อาศัยอยู่แต่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมานานขนาดนั้น ลืมไปแล้วว่าไม่ได้เห็นฉากธรรมชาติที่งามตระการตาเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว!
ณ เวลานี้ นางเข้าใจถ้อยคำที่หนิวโหย่วเต้าเคยกล่าวกับนางขึ้นมาอย่างถ่องแท้แล้ว นางเป็นวิหคตัวหนึ่ง ในที่สุดก็พ้นจากกรงทองใบนั้นแล้ว นภาสูงปฐพีกว้างนางสามารถโบยบินได้อย่างอิสระเสรี!
“อ๊า…” ก่วนฟางอี๋พลันอ้าสองแขนออก ตะโกนเสียงดัง!
ลุงเฉินและสวี่เหล่าลิ่วสบตากันเล็กน้อย ทั้งกลุ่มพุ่งทะยานลงจากเนินเขาไปเช่นนี้พร้อมกับเสียงตะโกนของนาง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า