ตอนที่ 352 อาจารย์อวี้ชาง
ทั้งห้าควบม้าผ่านทุ่งหญ้าไปอย่างรวดเร็ว ปีกทองตัวหนึ่งร่อนลงมาจากบนท้องฟ้า กระพือปีกบินตามกลุ่มคนที่ควบม้าอยู่
สวี่เหล่าลิ่วยื่นมือออกรับปีกทองที่ร่อนลงมา หยิบจดหมายลับออกมาตรวจสอบ จากนั้นเร่งม้าขึ้นไปด้านหน้า ควบไปหาก่วนฟางอี๋พลางเอ่ยรายงานว่า “พี่ใหญ่ พรรคพวกที่ซุ่มรออยู่ส่งข่าวมาแล้ว วันนี้พวกลิ่งหูชิวสามนายบ่าวน่าจะถูกคนของราชสำนักคุมตัวไปแล้ว”
ก่วนฟางอี๋หันไปมองหนิวโหย่วเต้า “เจ้าให้คนคอยเฝ้าเพื่อรอคอยข่าวนี้น่ะหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าหันไปมอง เอ่ยตอบไม่ตรงคำถามว่า “ส่งข่าวกลับไปหาพรรคพวกที่ซุ่มรออยู่ว่าอีกสองวันให้หลังจงปล่อยข่าวออกไปอย่างลับๆ ว่าข้าและลิ่งหูชิวล้วนถูกราชสำนักจับกุมตัวไปอย่างลับๆ ทั้งคู่”
ก่วนฟางอี๋ถาม “คิดจะทำอะไร?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงขรึม “เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องรู้กันทุกคน นั่นมิใช่เรื่องดีอันใด หากอยากติดตามข้ากลับไปยังจังหวัดชิงซานอย่างปลอดภัย ก็จงทำตามที่บอก!”
วาจานี้กลับเตือนสติก่วนฟางอี๋ขึ้นมา นางพยักหน้ารับด้วยสีหน้าครุ่นคิด หันไปเอ่ยสั่งสวี่เหล่าลิ่ว “ทำตามที่เขาบอก!”
“ขอรับ พี่ใหญ่!” สวี่เหล่าลิ่วตอบรับ พลันรั้งบังเหียนหยุดม้าโดยเร็ว ลงจากม้าแล้วจัดการเขียนจดหมายที่จะส่งกลับไป จากนั้นก็ขึ้นม้าควบตามไป!
ส่วนก่วนฟางอี๋กลับพินิจดูหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาแปลกพิกล
หนิวโหย่วเต้าที่คอยกวาดตามองสำรวจรอบข้างเป็นระยะๆ บังเอิญสบตากับนางเข้า จึงเอ่ยถามด้วยความมึนงงว่า “ไยจึงมองข้าเช่นนี้?”
ก่วนฟางอี๋ทอดถอนใจ ส่ายหน้าพลางกล่าวไปว่า “ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าถาม “เข้าใจอะไร?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดราชสำนักแคว้นเยี่ยนถึงทำอะไรเจ้าไม่ได้ แม้ว่าเจ้าจะสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนไปก็ตาม เจ้าอายุแค่นี้แต่ไปเอาความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจมาจากไหนมากมายปานนั้น? แผนแล้วแผนเล่าที่เจ้าคิดขึ้นมาทำเอาข้าขนลุกไปหมด ข้ากลัวจริงๆ ว่าสักวันข้าจะถูกเจ้าหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว!”
“นี่เจ้ากำลังชมหรือกำลังด่าข้าอยู่กันแน่?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
“ตอนที่ตงกัวเฮ่าหรานยังมีชีวิตอยู่ เขามีเรือนบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นามว่าสวนดอกท้อ ที่นั่นมีต้นท้อพันปีต้นหนึ่ง ออกดอกผลิบานตลอดสี่ฤดู พร่างพราวดั่งแสงอรุณงดงามมาก ข้าอาศัยอยู่ที่นั่นห้าปี!”
“รู้แล้ว ถูกกักบริเวณห้าปีสินะ เจ้าจะบอกว่าที่เจ้าเป็นแบบนี้เพราะไม่อยากถูกกักบริวเณอีกแล้วใช่หรือไม่? ข้ออ้างชัดๆ! คนใจคดก็คือคนใจคด!”
“ข้าเคยแต่งกลอนตอนอยู่ที่สวนดอกท้อ!”
“หือ? เจ้าแต่งกลอนเป็นด้วยหรือ?”
“อารามท้องามงดในดงท้อ เซียนดอกท้อพักกายมิใฝ่ฝัน หวังเพียงได้เร้นกายใต้แสงจันทร์ ทุกคืนวันเก็บดอกท้อแลกสุรา ยามสร่างรู้เพียงนั่งยลดอกไม้ ครั้นเมามายหวนเอนกายใต้บุปผา ประเดี๋ยวเมาประเดี๋ยวสร่างลืมเวลา ผกาผลิร่วงโรยราไปตามปี ใจเฝ้าหวังเมาสิ้นกลางหมู่ไม้ มิขอโค้งโน้มกายหน้าเสฎฐี ไม่มุ่งหมายควบอาชาฝ่าธุลี ขอเพียงมีจอกสุรากิ่งบุปผาก็เพียงพอ…”
ลุงเฉินและเสิ่นชิวที่ตามหลังทั้งสองอยู่ต่างจ้องมองเขา
ก่วนฟ่างอี๋จ้องมองด้วยความตะลึง รู้สึกเพียงว่ากลอนนี้บรรยายได้เห็นภาพนัก อดไม่ได้ที่จะจมจ่อมอยู่ในภวังค์
ก่วนฟางอี๋คล้ายจะเข้าใจความหมายของเขาขึ้นมาแล้ว กำลังสื่อความรู้สึกผ่านบทกลอนนี้ สื่อว่าตนไม่อยากมากังวลกับความเสี่ยงเช่นนี้
นางใคร่ครวญพลางเอ่ยถาม “กลอนบทนี้น่าจะยังมีท่อนหลังด้วย อย่าท่องแค่ครึ่งเดียวสิ ท่องออกมาให้จบทีเดียว!”
“ไม่มีแล้ว” หนิวโหย่วเต้ายักไหล่
“เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ!” กวนฟางอี๋กลอกตาใส่
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าถอนหายใจ “มีแค่นี้ ไม่มีต่อแล้วจริงๆ!”
ทั้งกลุ่มเงียบลง เหลือเพียงเสียงฝีเท้าม้า ก่วนฟางอี๋ใคร่ครวญดู เอ่ยพึมพำอยู่คนเดียว “ยามสร่างรู้เพียงนั่งยลดอกไม้ ครั้นเมามายหวนเอนกายใต้บุปผา ประเดี๋ยวเมาประเดี๋ยวสร่างลืมเวลา ผกาผลิร่วงโรยราไปตามปี …” จู่ๆ ก็เอ่ยเสียงดังใส่หนิวโหย่วเต้า “ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมชมสวนดอกท้อแห่งนั้นแน่นอน เจ้าพาข้าไปด้วยล่ะ!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา ไม่ได้เอ่ยตอบนาง แต่กลับขับขานบทเพลงทำนองแปลกๆ ขึ้นมา “เดิมตัวข้างำประกายรักสงบ ใช้หยินหยางสยบโลกไพศาล…”
….
ช่วงพลบค่ำ ณ ทุ่งหญ้าอีกแห่งได้เกิดเหตุการณ์อีกอย่างขึ้น
ทางหลวงเส้นหนึ่งที่ทอดยาวมาจากสถานที่ห่างไกล แล้วก็มุ่งตรงไปยังสถานที่ห่างไกล ตัดผ่านเทือกเขาที่ยากจะพบเห็นได้บนทุ่งหญ้า
ถึงแม้จะกล่าวทุกแห่งหนบนทุ่งหญ้าล้วนเป็นหนทาง แต่เส้นทางหลวงที่ยอดยาวบางเส้นนั้นมีการบำรุงซ่อมแซมให้ราบเรียบ ทำให้รถม้าสัญจรผ่านได้สะดวก หากเดินทางเป็นเส้นตรงจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งก็สามารถย่นระยะทางได้
ห่านป่าบินเป็นขบวนอยู่บนฟ้า บนเส้นทางหลวงที่ตัดผ่านเทือกเขาก็มีบุรุษห้าคนกำลังขี่ม้าควบทะยานอยู่เช่นกัน
ขณะที่ใกล้จะพ้นจากเขตเทือกเขา ปีกทองตัวหนึ่งได้บินโฉบเข้ามาจากบนท้องฟ้าเหนือผืนป่า โผตรงเข้ามาหาคนทั้งห้าคน ผู้เป็นหัวหน้ายื่นมือออกไปรับไว้
ทว่าพอเปิดกลักที่อยู่ตรงขาปีกทองออกดู กลับพบว่าด้านในว่างเปล่า ปราศจากจดหมายใดๆ
ขณะที่คนผู้นั้นขมวดคิ้วอยู่ คนที่อยู่รอบข้างก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ระวัง!”
คนผู้นั้นพลันเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงว่าบนเนินเขาด้านหน้าที่ทอดตัวเป็นระลอกคลื่นมีวิหครูปร่างใหญ่โตห้าตัวบินเลียดป่าเข้ามา
เงาร่างมนุษย์สิบห้าคนทิ้งตัวลงมาจากวิหคยักษ์ทั้งห้าอย่างรวดเร็ว วิหคยักษ์ทั้งห้ากลับตัวทะยานขึ้นฟ้าไปอีกครั้ง
ศิษย์ห้าคนจากสำนักศาสตราลึกล้ำกระชากผ้าคลุมกันลมออกจากร่าง เผยให้เห็นเกราะศึกบนร่างที่ส่องประกายวาววับ แผ่นเกล็ดบนชุดเกราะพุ่งฉิวออกมาอย่างรวดเร็วดุดัน
คนทั้งห้าดีดตัวออกจากหลังอาชาอย่างว่องไว ทะยานขึ้นสู่อากาศ
“ฮี่…” ม้าศึกห้าตัวร้องโหยหวนล้มทรุดลง พื้นดินถูกแผ่นเกล็ดที่พุ่งเข้ามาดั่งพายุฝนกระหน่ำเข้าใส่จนเกิดเสียงดัง ‘สวบๆๆ’ ฝุ่นควันคละคลุ้ง ม้าศึกห้าตัวที่ล้มทรุดลงไปชักกระตุกอยู่บนพื้น ร่างชุ่มไปด้วยเลือด ถูกแทงจนพรุนไปหมด
แผ่นเกล็ดพุ่งแหวกหน้าดินขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งลงไปใต้ดินแล้วก็พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง ลอยฉิวขึ้นสู่อากาศ สานไขว้ร้อยเรียงกันจนดูราวกับมังกรเงินห้าตัว ไล่ตามทั้งห้าคนที่เหินขึ้นสู่อากาศ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า