ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 370

ตอนที่ 370 ใช้ตั้งแทนรูปปั้นในวัดได้เลย

ณ เมืองหลวงแคว้นฉี บรรยากาศเข้าสู่ช่วงรื่นเริงแล้ว ทั่วท้องถนนตั้งแต่ปากตรอกยันท้ายตรอกต่างประดับประดาด้วยโคมและช่อแพร

ร้านเต้าหู้เองก็ไม่ต่างกัน ตกค่ำแล้วก็ยังยุ่งง่วนอยู่ เตรียมเต้าหู้ไว้สำหรับแจกฉลองงานสมรสวันพรุ่งนี้ จะเริ่มแจกเต้าหู้โดยไม่คิดเงินเป็นเวลาสามวันนับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จำนวนที่จะแจกย่อมมากมายนัก ปกติแล้วเป็นของที่ประชาชนซื้อกินไม่ไหว คาดว่าคงมีคนแห่แหนกันมาแน่นอน

“อันที่จริงพรุ่งนี้มีการตั้งโรงทานแจกอาหารมากมายหลายแห่งเลยทีเดียว เท่าที่ข้าทราบมาในวังก็กำลังเตรียมขนมเปี๊ยะจำนวนมากอยู่เช่นกันขอรับ จะนำออกไปแจกที่จุดตั้งโรงทานในวันพรุ่งนี้ อีกอย่างทางจวนอวี้อ๋องก็จะตั้งกระโจมแจกทานในวันพรุ่งนี้เช่นกันขอรับ ตระกูลใหญ่หลายตระกูลก็น่าจะปฏิบัติตามเช่นกัน ขอเพียงยอมออกหน้ากันมา ช่วงสามวันนี้ประชาชนทั่วเมืองหลวงล้วนจะได้กินดื่มโดยไม่เสียเงินกันถ้วนหน้าขอรับ”

เสมียนเกาช่วยรินสุราให้หยวนกังพลางเอ่ยไปด้วย

วันนี้เขาก็ไม่ได้กลับบ้านเช่นกัน หลายวันมานี้พักอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเตรียมการ ช่วงหลายวันมานี้ยุ่งมากจริงๆ ทั้งสองต้องหารือกันว่าจะทำเต้าหู้สำหรับแจกเท่าไร ทั้งยังต้องคอยดูคนงานที่ทำงานอยู่ในเรือนส่วนหลังด้วย

หยวนกังเอ่ยว่า “เพิ่มจำนวนให้มากอีกหน่อยเถอะ”

เสมียนเกาถอนหายใจดังเฮ้อ เอ่ยไปว่า “เถ้าแก่ขอรับ ข้ารู้ว่าท่านมีจิตเมตตา แต่ข้ากลัวว่าความใจดีจะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น! ท่านคิดดูสิขอรับ คนที่แห่แหนมารับของแจกล้วนเป็นคนยากไร้ บางคนกินไม่หมดแต่ก็อยากประหยัด ย่อมอดไม่ได้ที่จะรับไปตุนไว้มากหน่อย จะได้เอาไว้ค่อยๆ กินทีหลัง พรุ่งนี้คนของทางการก็คงยุ่งมากเช่นกัน ไม่มีทางส่งคนมาดูแลแผงเต้าฮวยของพวกเราแน่ พวกเราก็คงแยกแยะได้ยากว่าใครได้รับไปแล้วหรือใครยังไม่ได้รับไป ในเมืองหลวงมีคนมากมายปานนี้ ใครจะจำได้ครบเล่าขอรับ?”

“เถ้าแก่ เต้าหู้ของพวกเราแตกต่างกับอาหารจำพวกขนมเปี๊ยะนะขอรับ เก็บไว้นานไม่ได้ เน่าเสียเร็วมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถแจกจ่ายเกินอัตราได้ ต้องควบคุมปริมาณไว้ มิเช่นนั้นถ้ามีคนกินแล้วท้องเสียเป็นจำนวนมากขึ้นมา เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในวันมงคลจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้นะขอรับ! คนอื่นไม่เห็นค่าในน้ำใจของเราน่ะไม่เท่าไร แต่ร้านเต้าหู้ของพวกเราจะเสียชื่อไปด้วยนะขอรับ”

“เถ้าแก่ หากพูดให้ฟังดูแย่หน่อยคือตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนท่านแม่ทัพวางตัวเป็นกลาง ทุกคนอยากดึงท่านแม่ทัพไปเป็นพวก ส่วนใหญ่จึงไม่มีใครอยากล่วงเกินท่านแม่ทัพ ด้วยเห็นแก่หน้าของจวนแม่ทัพ จึงไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องพวกเรา แต่ต่อไปก็ไม่แน่แล้ว คนบางจำพวกพอไม่ได้ผลประโยชน์ไปก็หาเรื่องจับผิดสร้างปัญหา สามารถทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ท่านว่าพอถึงเวลานั้นเบื้องบนจะดำเนินการไปตามกฎหมายหรือใช้ช่องกฎหมายเล่นงานล่ะขอรับ? เกรงว่าต่อไปนี้แม้แต่คุณชายสามก็คงต้องอยู่ในเมืองหลวงอย่างสำรวมเช่นกัน ทางจวนแม่ทัพก็กำชับให้พวกเราระมัดระวังไว้เช่นกัน”

หยวนกังคิดๆ ดูก็พยักหน้าให้เล็กน้อย “เสมียนเกาพูดมีเหตุผล จัดการตามที่เจ้าว่าเถอะ! ใช่แล้ว เรื่องที่ให้เหมาเหลาสุราไว้รับรองทุกคนในวันพรุ่งนี้จัดการเรียบร้อยหรือยัง?”

เสมียนเกาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรียบร้อยแล้วขอรับ จัดการไว้อย่างดีแล้ว เถ้าแก่ไม่จำเป็นต้องกังวล ไปร่วมดื่มสุรามงคลที่จวนแม่ทัพได้เต็มที่เลยขอรับ ทางนี้ข้าจะคอยดูแลเอง”

หยวนกังเอ่ยเสียงเรียบ “งานฉลองสมรสที่จวนแม่ทัพข้าคงไม่ไปร่วมด้วย ดื่มกับทุกคนอยู่ทางนี้ก็เหมือนกัน”

เสมียนเการ้องไอ๊หยา เอ่ยไปว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสิทธิ์ได้ไปร่วมดื่มสุรามงคลที่นั่นนะขอรับ ผู้ใดได้เข้าร่วมก็นับเป็นเครื่องมือแสดงศักดิ์ฐานะและตำแหน่งได้ มีขุนนางน้อยใหญ่มากมายในเมืองหลวงแห่งนี้ที่อยากไปเข้าร่วมแต่ก็ทำได้เพียงมองตาปริบๆ เท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น บุคคลที่ไปรวมตัวกันอยู่ในงานนั้นหากมิใช่คนร่ำรวยก็ต้องเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสนี้นะขอรับ คุณชายทั้งหลายในจวนแม่ทัพล้วนมีไมตรีต่อเถ้าแก่ ล้วนเรียกเถ้าแก่เป็นพี่เป็นน้องกันทั้งสิ้น เมื่อถึงเวลานั้นหากทุกคนได้เห็นภาพนั้น วันหน้าเถ้าแก่ก็จะมีหน้ามีตาในเมืองหลวงแห่งนี้เช่นกัน พ่อบ้านฉามาถ่ายทอดคำสั่งด้วยตัวเองว่าให้ข้าเชิญท่านไปร่วมดื่มสุรามงคลด้วย เกียรติและน้ำใจในครั้งนี้ ท่านไม่รับไว้ไม่ได้นะขอรับ”

หยวนกังกล่าวว่า “ก็เพราะคนที่ไปมีแต่เศรษฐีและผู้มีอำนาจ ที่นั่นถึงไม่ใช้สถานที่ที่ข้าควรจะไป ข้าอยู่ทางนี้ช่วยดูแลเหล่าคนงานแทนคุณชายสามก็ไม่ต่างกันหรอก”

เพราะเหตุใดทางนี้ถึงเหมาเหลาสุราเอาไว้น่ะหรือ ก็เพราะไม่อยากไปร่วมดื่มสุรามงคลอันใด ด้วยกังวลว่าจะถูกคนของทางเฮ่าชิงชิงจดจำได้

เสมียนเกาเอ่ยถามเพียงประโยคเดียวว่า “คุณชายสามสนิทสนมกับท่าน งานแต่งของเขาทั้งที ท่านไม่ไปร่วมจะเหมาะสมหรือขอรับ ไม่ว่าจะมองในแง่ไมตรีหรือหลักเหตุผลก็ดูไม่เข้าท่าเลย!”

หยวนกังเงียบไป จากนั้นเอ่ยถามไปอีกประโยค “ทางนั้นบอกให้ข้าพาหยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียนไปร่วมดื่มสุรามงคลด้วยมีเจตนาใดกันแน่?”

เสมียนเกายิ้มเจื่อนพลางเอ่ยตอบว่า “เถ้าแก่ ท่านถามมากี่ครั้งแล้วขอรับ ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเองก็ฉงนในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน แต่พ่อบ้านฉาเป็นคนสั่งการมาด้วยตัวเองขอรับ…”

….

ณ เรือนเมฆาขาว ประตูหน้าที่ตามปกติแล้วมีคนเดินสัญจรเข้าออกอยู่ตลอดเช้าค่ำถูกดึงปิดดัง ‘กึง’

งานวิวาห์ขององค์หญิงใหญ่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ แหล่งอโคจรทั้งหมดในเมืองหลวงต้องปิดทการเป็นเวลาสามวัน

ซูจ้าวและฉินเหมียนที่ยืนอยู่ชั้นบนมองแสงโคมฉูดฉาดภายในโถงรับรองถูกดับไปทีละดวงๆ มองเหล่าแม่นางทั้งหลายที่แยกย้ายกันไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เหลืออยู่เพียงคนงานปัดกวาดส่วนหนึ่ง

ทั้งสองหันหลังเดินหายเข้าไปในส่วนลึกของทางเดินเช่นกัน พอไปถึงเรือนด้านหลัง ซูจ้าวเงยหน้ามองดวงดาว จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “เจ้าว่าหากส่งคนสะกดรอยตามปีกทองของทางจังหวัดชิงซานไป จะสืบพบที่อยู่ของหนิวโหย่วเต้าหรือไม่?”

ฉินเหมียนยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “ปีกทองที่บินส่งข่าวเกี่ยวกับการราชการและงานทางด้านกองทัพกับจังหวัดชิงซานไม่รู้ว่ามีมากน้อยเท่าไร ผู้ใดจะทราบได้ล่ะเจ้าคะว่าเป็นตัวไหนที่ติดต่อกับทางหนิวโหย่วเต้า หากจะสะกดรอยตาม ต้องใช้วิหคยักษ์มากขนาดไหนถึงจะได้เรื่อง? การกระทำที่เอิกเกริกโจ่งแจ้งเช่นนั้นจะไม่ถูกสังเกตเห็นเลยก็คงยาก จะมีประโยชน์ได้อย่างไรเจ้าคะ อีกอย่างก็ยังไม่แน่ว่าหนิวโหย่วเต้าจะกลับไปที่จังหวัดชิงซานด้วย”

ซูจ้าวก็แค่พูดไปเท่านั้น การปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าหนีรอดไปได้ทั้งๆ ที่อยู่ใต้จมูกเช่นนี้ นางกล้ำกลืนความโกรธไว้ไม่ไหวจริงๆ

“นายหญิง ถึงอย่างไรช่วงสองสามวันนี้ก็ต้องอยู่เงียบๆ ต้องการให้ส่งคนไปเชิญอันไท่ผิงมาอยู่เป็นเพื่อนท่านหรือไม่เจ้าคะ” ฉินเหมียนพลันเอ่ยถามหยอกเย้า

ซูจ้าวหน้าแดงเล็กน้อย กลอกตาใส่นางทีหนึ่ง…

….

วันต่อมา ภายในจวนแม่ทัพบัญชาการฮูเหยียนครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง องค์หญิงใหญ่จะแต่งเข้าตระกูลฮูเหยียนทั้งที ไม่ครึกครื้นสิถึงจะแปลก ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน

หยวนกังที่พาชายชราแขนขาด้วนทั้งสองคนไปด้วยไม่ได้เผยตัวเลย จนกระทั่งแสงโคมส่องสว่างขึ้นมา งานเลี้ยงฉลองสมรสเริ่มขึ้นแล้ว ทั้งสามถึงได้เสาะหาหลืบมุมแห่งหนึ่งแล้วนั่งลงไป

หยวนกังไม่อยากอยู่ปะปนกับคนร่ำรวยสูงศักดิ์เหล่านั้น ดูเหมือนทางตระกูลฮูเหยียนก็เข้าใจความรู้สึกของเขาเช่นกัน จึงตอบรับคำขอของพวกเขาโดยจัดให้พวกเขาไปอยู่ในลานเรือนที่ค่อนข้างห่างออกไป

สองชายพิการอย่างหยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียวเองก็ยินดีที่จะนั่งอยู่ตรงนี้เช่นกัน อันที่จริงพวกเขารู้สึกว่าตนไม่สมควรได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้เลย ล้วนคิดว่าหลบอยู่ในหลืบมุมก็ค่อนข้างเหมาะแล้ว

จนกระทั่งที่นั่งในลานเรือนฝั่งนั้นค่อยๆ ถูกเติมเต็ม สังเกตเห็นคนบางส่วนที่สวมชุดเกราะ ทั้งสามถึงได้ทราบว่าคนที่ถูกจัดให้มาดื่มฉลองในลานเรือนแห่งนี้ล้วนเป็นทหารบางส่วนของกองทัพทหารม้า

พวกหยวนกังทั้งสามที่ไม่ได้สวมชุดเกราะจึงดูค่อนข้างสะดุดตาขึ้นมา

“คนหน้าแดงตัวใหญ่ผู้นั้นกับตาเฒ่าแขนขาด้วนคู่นั้นเป็นใครกัน?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า