ตอนที่ 372 ม้าศึกมาแล้ว!
ทุกคนต่างรู้ดีว่าการที่จู่ๆ สำนักหยกสวรรค์มาไม้นี้ ย่อมเป็นเพราะจับสังเกตได้แล้วว่าทางนี้ขาดการติดต่อกับหนิวโหย่วเต้าอย่างสิ้นเชิง จึงหาโอกาสสำหรับลงมืออย่างถูกต้องชอบธรรม
สิบวันหรือ? หนิวโหย่วเต้าไม่มีทางขนส่งม้าศึกกลับมาภายในระยะเวลาสิบวันตามกำหนดได้ ต่อให้หนิวโหย่วเต้ากลับมาได้ก็คงมามือเปล่า ดังนั้นจึงจับพวกหยวนฟางไปก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
อีกฝ่ายมีเหตุผลในทุกๆ ด้าน แล้วพวกเขาจะบอกว่าอีกฝ่ายพูดไม่ถูกได้หรือ? เรื่องม้าศึกปล่อยให้ล่าช้าต่อไปไม่ได้จริงๆ ทุกคนต่างตกลงกันไปแล้วว่าหากทางนี้ทำไม่สำเร็จ พวกเขาจะส่งศิษย์ไปที่แคว้นฉีอีกครั้ง อีกฝ่ายให้เวลาพวกเขาสำหรับหาทางติดต่อมากพอแล้ว อีกฝ่ายต้องการเพียงคำอธิบายจากหนิวโหย่วเต้าเท่านั้น หากได้รับคำอธิบายจะปล่อยตัวคนทันที นี่นับว่าอีกฝ่ายทำเกินเลยมากไปหรือ?
อีกฝ่ายคิดเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ใครยังจะไปว่าอะไรได้? อีกฝ่ายมีอำนาจมากกว่า ซ้ำยังพูดจาสมเหตุสมผล!
เจิ้งจิ่วเซียวเอ่ยเสียงขรึม “สำหรับแผนการในตอนนี้คงทำได้เพียงพยายามติดต่อไปหาซ้ำๆ หวังว่าจะติดต่อหนิวโหย่วเต้าได้โดยเร็วที่สุด ถึงทำไม่ได้ก็ต้องลองดู!”
เฟ่ยฉางหลิวและเซี่ยฮวาพยักหน้ารับเงียบๆ มีแต่เพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น
ซางซูชิงลองถามไปประโยคหนึ่ง “จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเต้าเหยี่ยหรือไม่?”
เซี่ยฮวายิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “ท่านหญิง เรื่องนี้บอกไม่ได้จริงๆ ว่ากันตามหลักแล้ว เขาส่งคนของสวนไม้เลื้อยมาทางนี้ ย่อมต้องมีการวางแผนมาก่อนแล้ว แต่ว่าหลายเดือนมานี้ทั้งที่มีคนมากมายปานนั้น แต่กลับไม่มีข่าวส่งกลับมาเลยสักนิด ไม่มีผู้ใดทราบได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
แววตาซางซูชิงเปี่ยมด้วยความกังวล
เซี่ยฮวาลูบสองไหล่ของนางพลางถอนหายใจ เอ่ยไปว่า “ท่านหญิง ระยะนี้พระงอค์ผอมลงไปมากนะเพคะ! อย่าเป็นกังวลเกินไปเลย จำต้องยอมรับเลยว่าหนิวโหย่วเต้าผู้นั้นพอจะมีฝีมืออยู่จริงๆ น่าจะไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นเพคะ”
ปลอบใจมันก็ส่วนปลอบใจ แต่ความเป็นจริงที่สามสำนักต้องเผชิญหลังจากนี้ยังคงค่อนข้างน่าวิตกอยู่ดี ปีกทองที่ถูกปล่อยออกไปบินวนอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ร่อนกลับลงมาอีกครั้ง
พยายามปล่อยออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็เป็นแบบเดิมซ้ำๆ แปลว่ายังคงติดต่อไม่ได้
….
ภายในจวนผู้ว่าการจังหวัด ซางเฉาจงเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง บ่นถึงความจองหองกำเริบเสิบสานของสำนักหยกสวรรค์
เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นเพียงรับฟังอย่างสงบเท่านั้น หลังจากฟังจบก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านอ๋องโปรดสงบอารมณ์ด้วยเถิด ต่างคนต่างมีผลประโยชน์ของตน อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
หลานรั่วถิงลูบเคราพลางเอ่ยว่า “กล่าวโดยสรุปคือทางเรายังขาดสำนักที่จะมาคานอำนาจกับสำนักหยกสวรรค์อยู่ แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง ตอนนี้ทางเราก็ยังไม่สามารถเลี้ยงดูสำนักเป็นจำนวนมากได้ จะมาพูดเรื่องคานอำนาจอันใดยังเร็วไป ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่ยังต้องการแรงสนับสนุนจากสำนักหยกสวรรค์ ท่านอ๋องยังคงต้องอดทนไว้นะพ่ะย่ะค่ะ รอจนมีผลประโยชน์มากพอแล้ว เราย่อมสามารถแสดงพลังที่สามารถคานอำนาจได้พ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เงยหน้าทอดถอนใจ “หลักเหตุผลน่ะข้าเข้าใจ แต่หากว่าหลังจากนี้หนิวโหย่วเต้ากลับมาแล้ว แล้วพบว่าข้าปล่อยให้คนของเขาถูกจับตัวไปโดยไม่ทำอะไร ข้าสมควรจะอธิบายกับเขาอย่างไรเล่า? อีกฝ่ายทุ่มเททำงานหนักเพื่อข้า ออกไปเสี่ยงชีวิตอยู่ด้านนอก ทว่าแม้แต่คนของเขาข้าก็ยังปกป้องไว้ไม่ได้ จะให้เขารู้สึกอย่างไรล่ะ?”
เหมิงซานหมิงส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ท่านอ๋องกังวลมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ หนิวโหย่วเต้าเป็นคนมีเหตุผลคนหนึ่ง เขาต้องเข้าใจแน่ว่าเป็นเพราะเขาเองที่ทำให้เกิดช่องโหว่ในเรื่องราวขึ้น ทำให้อีกฝ่ายสบโอกาสเอาเปรียบได้ ทางท่านอ๋องก็ไม่อาจขัดขวางได้เช่นกัน แล้วก็ห้ามไม่อยู่ด้วย ปัญหาในตอนนี้คือสรุปแล้วสถานการณ์ทางฝั่งหนิวโหย่วเต้าเป็นเช่นไรกันแน่ หากเกิดเหตุขึ้นจริงๆ ต่อให้ท่านอ๋องออกหน้าปะทะกับสำนักหยกสวรรค์ไปตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไรพ่ะย่ะค่ะ? หากหนิวโหย่วเต้าไม่กลับมาจริงๆ ท่านอ๋องก็ทำได้เพียงต้องเลือกยืนฝั่งเดียวกับสำนักหยกสวรรค์ หากเลือกยืนข้างเดียวกับสามสำนักแล้วจะต่อกรกับสำนักหยกสวรรค์ได้หรือ? ตัวเจ้าสำนักทั้งสามเองก็ไม่มีความกล้าขนาดนั้นเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ยอมทนมองพวกเดียวกันถูกจับกุมไปต่อหน้าต่อตาตนหรอกพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาจงเอ่ยถาม “แล้วถ้าหากหนิวโหย่วเต้ากลับมาได้ล่ะ?”
เหมิงซานหมิงกล่าวว่า “ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ท่านอ๋องยังมองไม่ออกอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ระยะทางห่างไกลยังพอว่า แต่เมื่อมองจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแคว้นฉีเหล่านั้นแล้ว หนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆ? เขาใช่คนที่ผู้ใดก็สามารถจัดการได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? แม้แต่เฮ่าอวิ๋นถูฮ่องเต้แห่งแคว้นฉีก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เขาจะกลัวสำนักหยกสวรรค์ได้หรือ? กระหม่อมเฝ้าสังเกตมานานแล้ว สำหนักหยกสวรรค์ดูเหมือนจะแข็งแกร่ง แต่ความจริงแล้วพอเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต้ากลับไร้กำลังเป็นอย่างมาก ไม่เคยรับมือกับหนิวโหย่วเต้าได้เลย มิเช่นนี้จะต้องมาทำตัวลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ? เป็นหนึ่งสำนักใหญ่สำนักหนึ่ง เหตุใดถึงไม่กล้าควบคุมหนิวโหย่วเต้าอย่างตรงไปตรงมา? มองจากจุดนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามีปัญหา บางทีกระทั่งสำนักหยกสวรรค์เองก็คงไม่รู้สึกตัวเช่นกัน ยังคงคิดว่าตนเองได้เปรียบอยู่ ท่านอ๋องวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากหนิวโหย่วเต้าไม่กลับมาก็แล้วไปเถิด แต่หากกลับมาได้จริงๆ ท่านอ๋องก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้าไปงัดคานกับสำนักหยกสวรรค์ด้วยตัวพระองค์เองเลย ผู้ใดจะมีชัยผู้ใดจะพ่ายแพ้ก็ยังไม่แน่หรอกพ่ะย่ะค่ะ!”
หลานรั่วถิงพยักหน้ารับ “อาจารย์เหมิงกล่าวมีเหตุผล!”
ซางเฉาจงใคร่ครวญเงียบๆ ค่อยๆ ใจเย็นลง
……
บนหอสูงด้านนอก ไป๋เหยายืนกอดกระบี่ไว้ เหม่อมองออกไปไกล ความรู้สึกค่อนข้างซับซ้อน
เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เขาก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว ตัวเขาเองก็จำเป็นต้องยอมรับว่าวิธีการของทางสำนักค่อนข้างต่ำช้าและไร้เกียรติ
แต่เขาก็ทราบดีว่าเรื่องราวบางอย่างไม่มีแบ่งแยกถูกผิด หรือจะบอกว่าการที่สามสำนักพยายามคิดหาทางแบ่งผลประโยชน์ไปจากสำนักหยกสวรรค์ใช่เรื่องที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ? ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ทำไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของทางสำนักนับว่ามีความผิดหรือ? หากว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์ก็ต้องการคนเช่นนี้มาปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมไว้
กับเรื่องบางอย่าง เขาก็ทำได้เพียงทอดถอนใจออกมาเท่านั้น รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
….
นกทะเลร้อง “แกวกๆ” มัจฉากระโจนไปมาในท้องทะเลกว้าง
หนิวโหย่วเต้ายืนมือไพล่หลังรับลมอยู่ตรงหัวเรือ เสื้อผ้าปลิวสะบัดตามแรงลม มองดูปลาที่กระโจนขึ้นมาเหนือผิวน้ำสองฝั่งเรืออยู่เป็นระยะ ฉากนี้คล้ายคลึงกับอดีตที่ประทับอยู่ในความทรงจำเขา
ก่วนฟางอี๋จับตามองหนิวโหย่วเต้าอย่างใกล้ชิด หนิวโหย่วเต้าไปไหนนางก็ไปที่นั่นด้วย
ตอนนี้นางก็ถูกจำกัดการติดต่อกับโลกภายนอกเช่นกัน ซ้ำยังถูกลากไปเอี่ยวจนล่วงเกินหอจันทร์กระจ่างเข้าแล้ว ถ้าหากหนิวโหย่วเต้าเล่นตุกติกหลบหนีไป นางจะไปร้องทุกข์กับใครได้? ดังนั้นจึงคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด
แต่นางกลับดูผ่อนคลาย ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาจัดวาง นั่งไขว้ขาถือถ้วยชาใบหนึ่งไว้ รับลมทะเลที่พัดโชยมาอย่างสบายใจ ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามสายลม
อุดอู้อยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมากนานหลายปี ได้เห็นทิวทัศน์เช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกดีเช่นกัน
กงซุนปู้เดินออกมาจากห้องโดยสาร สาวเท้าเดินเข้ามา พยักหน้าทักทายก่วนฟางอี๋เล็กน้อย ก่วนฟางอี๋ชม้ายตาให้เขาทีหนึ่ง ทำให้เขายิ้มเจื่อนออกมา
“เต้าเหยี่ย ต้นหนเรือบอกว่าใช้เวลาอย่างมากอีกหนึ่งวันก็ถึงจังหวัดชิงซานแล้วขอรับ” กงซุนปู้เอ่ยรายงาน
ใกล้ถึงแล้วหรือ? ก่วนฟางอี๋กะพริบตาปริบๆ ตั้งตารอคอยเหลือเกิน จากที่ลิ่งหูชิวเคยบรรยายไว้ ดูเหมือนความเป็นอยู่จะยอดเยี่ยมอย่างมาก
นางก็เคยสอบถามกงซุนปู้เช่นกัน กงซุนปู้ก็เคยบอกไว้ว่าอย่างอื่นไม่อาจบอกได้แน่ชัด แต่ในเรื่องอาหารการกิน หากบอกว่าคฤหาสน์บนเขาของเต้าเหยี่ยเป็นอันดับสอง เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดกล้ายกตนเป็นที่หนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า