ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 375

ตอนที่ 375 ห้าล้านไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?

เมื่อเทียบกับจำนวนสามหมื่นตัวแล้ว เสียม้าไปหลักพันตัวไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเหตุจากภัยธรรมชาติด้วย ไม่อาจกลัวโทษใครเพราะความแปรปรวนในท้องทะเลได้

สิ่งที่ทำให้ซางเฉาจงตื่นเต้นจริงๆ คือเรื่องอื่น เขาอดไม่ได้ที่จะคว้าแขนหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย ท่านบอกว่าในบรรดานั้นมีม้าแม่พันธุ์จำนวนพันตัวอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ไม่มีทางพูดปดต่อหน้าท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

“ยอดเยี่ยม!” ซางเฉาจงไม่มีใจจะคุยเรื่องอื่นแล้ว หันกลับไปสั่งให้คนรีบลำเลียงม้าศึกลงจากเรือทันที เขาอดใจรอชมแทบไม่ไหวแล้ว

คนอื่นๆ ก็ตั้งตารอยลโฉมม้าศึกเหล่านี้เช่นเดียวกัน

เผิงโย่วไจ้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหนิวโหย่วเต้าอีกหลายครั้ง ทางนี้ต้องการม้าศึกหนึ่งหมื่นตัว แต่คนผู้นี้กลับจัดหามาได้สามหมื่นตัว แม้แต่ม้าแม่พันธุ์ที่พื้นที่เลี้ยงสัตว์ในแคว้นฉีไม่กล้าปล่อยขายก็ยังเอามาได้ ความสามารถนี้ช่างยอดเยี่ยมจนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ

ไม่ว่าจะสำหรับสองจังหวัดหรือสำหรับสำนักหยกสวรรค์ นี่คือเรื่องดีอย่างเห็นได้ชัด แต่เผิงโย่วไจ้กลับรู้สึกว่าสำนักหยกสวรรค์เสียหน้า ความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง สำนักหยกสวรรค์ลำบากลำบนอยู่กว่าหนึ่งปีไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วต่อไปนี้คนในเขตสองจังหวัดไม่ว่าเบื้องบนหรือเบื้องล่างจะมองสำนักหยกสวรรค์อย่างไร?

“หนิวโหย่วเต้า สนใจมาเข้าสำนักหยกสวรรค์ของข้าหรือไม่?” จู่ๆ เผิงโย่วไจ้ก็เอ่ยถามเสียงเรียบ

“หือ?” หนิวโหย่วเต้ามึนงงเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร

เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “หากกลายเป็นคนสำนักหยกสวรรค์เราแล้ว เรื่องราวเมื่อครู่นี้จะถูกมองข้ามไป ข้าจะถือว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งนั้น”

หนิวโหย่วเต้าถาม “ไม่ดีกระมัง?”

เผิงโย่วไจ้กล่าวไปว่า “เรื่องส่วนแบ่งกำไรจากการขายสุราเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ส่วนที่สมควรแบ่งให้เจ้าก็จะยังคงแบ่งให้เจ้า เจ้ากับศิษย์น้องข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เรื่องลำดับอาวุโสจัดการไม่ยาก สำนักหยกสวรรค์จะมอบสิทธิพิเศษให้เจ้าอย่างเหมาะสมแน่นอน ไม่มีทางผูกมัดเจ้าเกินไป”

หนิวโหย่วเต้าเข้าใจแล้ว ผลประโยชน์ที่เสนอให้ฟังแล้วเย้ายวนใจเป็นอย่างมาก แต่บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีที่ได้มาโดยไม่เสียอะไรไป เขาไม่มีรากฐานใดๆ ในสำนักหยกสวรรค์เลยจึงหัวเราะเฮอะๆ เอ่ยไปว่า “ถึงข้าอยากไปก็เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงไม่กล้ารับข้าไว้”

เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “เหตุใดจะไม่กล้าเล่า ขอเพียงเจ้ากล้ามา ข้าก็กล้ารับไว้”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องกับหอจันทร์กระจ่างเข้าแล้ว”

“……” เผิงโย่วไจ้พูดไม่ออก ไม่เอ่ยถึงเรื่องชักชวนอีกฝ่ายเข้าร่วมสำนักอีก

“ฮี่…”

เสียงร้องของม้าจำนวนหนึ่งแว่วขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าม้าเดินลงจากเรือผ่านทางไม้กระดานดังกุบกับๆ แว่วขึ้นเป็นพรวน

เรือจอดเทียบฝั่ง คอกกั้นภายในท้องเรือถูกเปิดออก ม้าตัวแล้วตัวเล่าถูกต้อนออกมา เดินลงมาตามไม้กระดานเทียบเรือ ยอดอาชาหลายสิบตัวบนเรือปรากฏตัวขึ้นแทบจะพร้อมเพรียงกัน

ท่าเรือเป็นสถานที่สำหรับเทียบเรือจริงๆ เรือใหญ่ขนาดนี้เข้ามาจอดเทียบได้สิบลำก็ล้นถึงปลายท่าแล้ว ริมชายหาดสองฝั่งท่าเรือก็มีเรือจอดเทียบอยู่ในแนวนอนไม่น้อยเช่นกัน ฝูงม้าย่ำลงมาจากไม้กระดานลงสู่น้ำ จากนั้นก็เดินลุยเขตน้ำตื้นขึ้นหาด น้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว ทำให้เหล่าทหารที่ดักขวางเฝ้าอยู่สองฟากฝั่งเปียกปอนไปหมด

ชั่วขณะนั้น ฉากนี้ดึงดูดสายตาคนอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่ยืนอยู่บนท่าเรือก็เริ่มถอยหลังไปเล็กน้อย ย้ายไปยืนมองอยู่สองฝั่งซ้ายขวา

“เหตุใดถึงรู้สึกว่าม้าเหล่านี้ดูค่อนข้างเซื่องซึม สีขนก็หม่นหมองไร้ประกายเล่า” หลานรั่วถิงขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

เหมิงซานหมิงที่อยู่บนรถเข็นเอ่ยว่า “น่าจะอุดอู้อยู่บนเรือนานไป ถือกำเนิดเติบโตอยู่บนบกจนคุ้นชินจู่ๆ ต้องไปอยู่บนท้องทะเลที่ไม่คุ้นเคยเป็นเวลานานขนาดนี้ร่างกายย่อมได้รับผลกระทบ มองจากฟันและแผงอกแล้วล้วนเป็นม้าหนุ่มที่ยอดเยี่ยม ไม่เป็นไรหรอก บำรุงไปสักพักก็กลับมาเป็นปกติแล้ว”

สมแล้วที่เป็นคนที่ฝึกทหารม้า เพียงมองดูก็จับจุดได้แล้ว

หลานรั่วถิงประสานมือคำนับ สื่อว่าได้รับการสั่งสอนแล้ว

ในเวลานี้ ริมหาดค่อยๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นตัวม้า ม้าบางส่วนที่อยู่บนหาดแผดเสียงร้องอย่างมีความสุข ในที่สุดก็ได้เหยียบพื้นดินอีกครั้ง ดูเหมือนจะดีใจอย่างมาก

เหลยจงคังและอู๋ซานเหลี่ยงเดินเข้ามาหาหนิวโหย่วเต้า อู๋ซานเหลี่ยงเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย เหตุใดถึงไม่เห็นลูกพี่กับต้วนหู่เลยล่ะขอรับ?”

กงซุนปู้ฟังแล้วก้มหน้าลงเงียบๆ

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หันหลังกลับไป มองไปทางเรือที่ตนโดยสารมาลำนั้น บังเอิญเห็นต้วนหู้โผล่หน้าออกมาพอดี ด้านหลังเขามีศิษย์สำนักเบญจคีรีสองคนยกเปลหามที่สร้างขึ้นชั่วคราวออกมา คนผู้หนึ่งนอนอยู่บนเปลหาม มีผ้าสีดำผืนหนึ่งคลุมอยู่

เมื่อเห็นภาพนี้ แล้วก็เห็นต้วนหู่ก้มหน้าอย่างหม่นหมอง เหลยจงคังและอู๋ซานเหลี่ยงพลันใจหายวาบ ต่างสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา

สุดท้ายยังคงต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอยู่ดี ต้วนหู่เองก็ไม่สามารถหลบซ่อนตัวต่อไปได้ จำเป็นต้องเผชิญหน้าเช่นกัน

สุดท้ายเปลหามถูกยกเข้ามาทางด้านนี้ ต้วนหู่ก้มหน้า ไม่มีหน้าจะเผชิญกับเหลยจงคังและอู๋ซานเหลี่ยง

เหลยจงคังถามด้วยเสียงที่เจือความสั่นพร่า “ต้วนหู่ ลูกพี่ล่ะ?”

ต้วนหู่เม้มปากแน่น ก้มหน้าไม่ปริปาก

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ว่า “ก่อนจะออกจากแคว้นฉี พวกเราเผชิญการตามล่าระหว่างทาง เพื่อช่วยกลบเกลื่อนให้พวกเราหนีรอด เฮยหมู่ตานและต้วนหู่ปลอมตัวเป็นข้าและหงเหนียง ล่อศัตรูที่ตามไล่ล่าออกไป ฝ่ายศัตรูแข็งแกร่งมากเกินไป เฮยหมู่ตานโชคร้ายถูกโจมตีจนเสียชีวิต ส่วนต้วนหู่เอาชีวิตรอดกลับมาได้อย่างหวุดหวิด”

ต้วนหู่น้ำตาไหล น้ำตาเม็ดโตรินลงมาจากดวงตาแดงก่ำ เอ่ยสะอื้น “ข้ามันไม่ได้เรื่อง!”

“อ๊าก!” อู๋ซานเหลี่ยงพลันเงื้อเท้าถีบต้วนหู่ล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นเข้าไปกระทบซ้ำพลางก่นด่าด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้ายังมีหน้ารอดชีวิตกลับมาอีก?”

ต้วนหู่ที่ล้มลงบนพื้นไม่โต้ตอบเลย เอาแต่พูดว่าเป็นเพราะตนไม่ได้เรื่องซ้ำๆ

“อู๋ซานเหลี่ยง!” หนิวโหย่วเต้าตวาดเสียงขรึม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า