สรุปตอน ตอนที่ 376 กุ่ยหมู่มาเยือน – จากเรื่อง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
ตอน ตอนที่ 376 กุ่ยหมู่มาเยือน ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 376 กุ่ยหมู่มาเยือน
ไม่พูดยังพอว่า แต่พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว กลุ่มคนจากสำนักหยกสวรรค์ต่างมองไปที่เรือเหล่านั้น พบว่าการทำเช่นนี้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากจริงๆ
ก่อนหน้านี้คนของทางนี้ก็เคยขึ้นไปดูบนเรือมาแล้ว ได้เห็นภาพบนเรือมากับตา เรือในส่วนที่ใช้บรรทุกม้าถูกรื้อถอนดัดแปลงจริงๆ แผ่นไม้กั้นหรือห้องขนาดเล็กบางส่วนล้วนถูกรื้อถอนออกไปหมด ทั้งหมดถูกดัดแปลงเป็นคอกกั้นม้าที่ซอยเป็นช่องๆ ต้องได้รับการปรับปรุงใหม่อีกครั้งถึงจะกลับไปเป็นเรือบรรทุกสินค้าดังเดิมได้
เฟิงเอินไท่ถูกว่าจนพูดไม่ออก เหตุผลเรื่องเรือในช่วงหลังไม่ขอกล่าวถึง แต่เรื่องที่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาเผชิญอันตรายกลับจริงแท้แน่นอน จากนั้นพอนึกถึงการตายของเฮยหมู่ตาน ทั้งยังถูกตามล่าด้วยวิหคยักษ์ห้าตัวอันใดนั่นอีก นี่ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างละอายใจขึ้นมา
หากจะว่ากันไปแล้ว ถึงแม้การร่วมสาบานจะเป็นไปอย่างฉาบฉวย หรือบางทีอาจเป็นเพราะพะวงถึงสำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ทางนี้ จึงไม่กล้าปล่อยให้คนของสำนักหยกสวรรค์ได้รับอันตราย แต่น้องชายร่วมสาบานคนนี้ก็นับว่าทุ่มเทอย่างมากจริงๆ
หากเขาได้รู้ว่าฝั่งตนเองเคยถูกหนิวโหย่วเต้าใช้เป็นเหยื่อล่อฝ่ายศัตรูมาก่อน แต่เป็นเพราะโชคดีที่หอจันทร์กระจ่างรู้แกวแผนการของหนิวโหย่วเต้าเสียก่อน ถึงทำให้เขาพ้นช่วงวิกฤตไปได้ ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร
สุดท้ายแล้วสมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ก็จากไปก่อน มอบเงินห้าล้านเหรียญทองให้แก่หนิวโหย่วเต้า
ขณะที่อยู่บนหลังม้า เฉินถิงซิ่วเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “ศิษย์พี่ ห้าล้านเหรียญทองมิใช่เงินน้อยๆ เลย จะให้เขาไปเช่นนี้หรือขอรับ?”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “ก็จ่ายไปตามราคาเท่านั้น ม้าศึกสามหมื่นตัวรวมค่าใช้จ่ายตลอดทางแล้ว ห้าล้านก็ไม่นับว่าเกินไป สมควรให้ก็ต้องให้ไป หากบีบคั้นจนเขาเผยแพร่สูตรลับกลั่นสุราออกไป พวกเราจะเสียหายมากกว่านี้ ด้วยสถานการณ์ของเขาในปัจจุบันนี้ เขายากจะไปจากทางนี้ได้แล้ว ขอเพียงยังอยู่ในกำมือเรา จะจัดการเขาเมื่อไรก็ได้ สิ่งที่พวกเราต้องการคือมณฑลหนานโจว อย่าให้งานใหญ่ต้องเสียหายเพราะเรื่องเล็กๆ ความสามารถของเขายังมีประโยชน์สำหรับพวกเรา อีกอย่าง หากพวกเราไม่จ่ายเงินจำนวนนี้ ม้าศึกก็มิใช่ทางเราจัดหามา ผู้คนในสองจังหวัดไม่ว่าเบื้องบนหรือเบื้องล่างจะมองพวกเราอย่างไร? อันสิ่งที่เรียกว่าใจคนยังคงมีค่านัก ยิ่งไปกว่านั้นคือเสียห้าล้านไปก็ยังถอนทุนคืนได้จากช่องทางอื่น”
ทุกคนต่างมองเข้ามา เฉินถิงซิ่วถามด้วยความแปลกใจ “หาคืนมาจากที่ใดเล่า?”
เผิงโย่วไจ้ตอบว่า “ดำเนินการกันอึกทึกครึกโครมปานนี้ มีม้าศึกมากมายขนาดนี้มาถึง พวกเจ้าคิดว่าจะรอดพ้นจากหูตาของกลุ่มอื่นๆ ได้หรือ? ทางจินโจวมีกองทัพของตัวเอง พวกเขาย่อมต้องการม้าศึกเช่นกัน หากได้ยินข่าวต้องมาหาพวกเราแน่นอน เมื่อพันธมิตรมาเยือนถึงที่ก็คงเลี่ยงไม่พ้น เพื่อการขยับขยายในอนาคตของพวกเราแล้ว เรายังจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากวังสวรรค์หมื่นวิมานและมณฑลจินโจวอยู่ ม้าศึกสองสามพันตัวย่อมมอบให้พวกเขาไป ให้สักห้าพันตัวแล้วกัน หากทางนี้เลี้ยงดูม้าศึกมากเกินไปก็สิ้นเปลืองมากเช่นกัน เอาไว้พวกเขามาหาถึงที่แล้ว เราค่อยขายให้พวกเขาในราคาสูงสักห้าพันตัว!”
ทุกคนกระจ่างขึ้นมาในทันใด อย่างนี้นี่เอง
เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “ทุกคน ข้าวางแผนขั้นต่อไปไว้ พวกเจ้าลองฟังแล้วนำไปไตร่ตรองดูสักหน่อย”
“เจ้าสำนักเชิญกล่าวมาได้เลย” เฉินถิงซิ่วตอบรับ ทุกคนก็มองเข้ามาเช่นกัน
เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “เรื่องม้าศึกสำเร็จลุล่วงแล้ว ให้คนคอยจับตาดูแล้วก็เร่งทางซางเฉาจงหน่อย ขั้นต่อไปก็คือมณฑลหนานโจวทั้งมณฑล ในเรื่องนี้ทุกคนล้วนทราบกันดี ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้นสำนักหยกสวรรค์ของเราจำเป็นต้องรวมกำลังทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันก่อน กำลังของพวกเรากระจัดกระจายเกินไป อีกสามจังหวัดจำเป็นต้องถูกผนวกรวมเข้ากับสองจังหวัดที่มีอยู่ในตอนนี้ สำนักหยกสวรรค์เองก็ต้องอพยพโยกย้ายมาทั้งสำนักเช่นกัน ทางนี้มีรากฐานเก่าจากหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วคอยค้ำจุนอยู่ คืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีมณฑลจินโจวเป็นพันธมิตรให้พึ่งพา ดังนั้นหากรวมเข้าด้วยกันได้จะทำให้รากฐานของสำนักหยกสวรรค์เราขยายตัวเติบโตไปอย่างมาก”
เฟิงเอินไท่แสยะยิ้มเล็กน้อย “เจ้าสำนัก สามจังหวัดนั้นแยกตัวกระจัดกระจาย อยู่ห่างไกลเกินไป ไม่มีทางรวมเข้าด้วยกันได้หรอกขอรับ!”
เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “สามารถไปเจรจากับราชสำนักดูได้ ให้ทางราชสำนักเอาพื้นที่สามจังหวัดอื่นในมณฑลหนานโจวมาแลกเปลี่ยนกับทางเรา สามจังหวัดนั้นแยกตัวกระจัดกระจาย เป็นอุปสรรคต่อการจัดการของทางเราอย่างมาก ส่วนทางราชสำนักก็คงกลัวว่าจะเกิดความวุ่นวายกระจัดกระจายไปทั่วเช่นกัน หากว่ารวมพวกเราเข้าด้วยกัน พวกเขาก็จัดการพวกเราได้ง่ายขึ้นเช่นกัน นับว่าต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ขอเพียงพวกเรายินดีสละผลประโยชน์ให้สักหน่อยเพื่อไว้หน้าหาทางลงให้ราชสำนัก โอกาสที่จะเจรจาสำเร็จก็มีมากขึ้น มณฑลหนานโจวมีสิบเอ็ดเขตจังหวัด หากพวกเราได้ครอบครองไปห้าจังหวัด อีกทั้งรวบรวมกำลังเข้าไว้ด้วยกัน นั่นจะทำให้อุปสรรคในการยึดมณฑลหนานโจวให้เป็นหนึ่งเดียวกันในวันข้างหน้าลดลงไปได้ไม่น้อย คิดจะซิงมณฑลหนานโจวจำเป็นต้องมีซางเฉาจงอยู่ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องยกมณฑลหนานโจวให้เขา บุตรชายของซางเจี้ยนปั๋วจำเป็นต้องป้องกันเอาไว้บ้าง เมื่อระดมกำลังจากสามจังหวัดเข้ามา หากถึงคราวจำเป็นขึ้นมาก็จะสามารถควบคุมเขาไว้ได้”
วาจานี้ทุกคนล้วนได้ยินกันทั่ว ต่างตกอยู่ในห้วงความคิด
ทุกคนพอจะเข้าใจแผนการของเขาขึ้นมาแล้ว ถึงสำนักหยกสวรรค์จะสามารถฝืนยึดเอามณฑลหนานโจวนมาได้แต่ในช่วงเวลาหลังจากนั้นสำนักหยกสวรรค์ยังไม่มีกำลังที่แข็งแกร่งมากพอที่จะรองรับความทะเยอทะยานที่มากกว่านั้นได้ มาตรว่าจะสามารถขยายจำนวนศิษย์ในสำนักได้อย่างรวดเร็ว แต่การจะยกระดับสภาวะของเหล่าศิษย์จำเป็นต้องใช้ระยะเวลานาน รากฐานของสำนักหยกสวรรค์ยังไม่มั่นคง ดำเนินการได้ตามกำลังเท่านั้น
แต่ความทะเยอทะยานของซางเฉาจงเกรงว่าคงไม่ได้หยุดอยู่แค่ในมณฑลหนานโจวแห่งเดียวเท่านั้น อีกฝ่ายอาจต้องการสะสางบัญชีแค้นกับซางเจี้ยนสยงผู้เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนก็เป็นได้ หากสำนักหยกสวรรค์มีกำลังไม่มากพอล่ะก็ มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่ซางเฉาจงชักนำกลุ่มอิทธิพลอื่นเข้ามาคานอำนาจกับสำนักหยกสวรรค์ นี่มิใช่ภาพที่สำนักหยกสวรรค์อยากจะเห็นเลย
นามของ ‘เฟิ่งหลิงปอ’ ผุดขึ้นมาในหัวของคนส่วนหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักคิดจะยกมณฑลหนานโจวให้แก่เฟิ่งหลิงปอใช่หรือไม่
….
หลังจากเฝ้ามองพวกเผิงโย่วไจ้จากไปแล้ว ก่วนฟางอี๋มองตั๋วแลกทองในมือของหนิวโหย่วเค้า แค่นหัวเราะพลางเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ข้าว่าเจ้าก็ร้ายพอตัวเลยนะ ขโมยม้าศึกจากมณฑลเป่ยโจวมาขายให้พวกเดียวกัน เจ้าเล่ห์เหลือเกิน ดูเหมือนจะไม่ได้เพิ่งทำเช่นนี้เป็นครั้งแรกกระมัง”
หนิวโหย่วเต้าหันไปถามนาง “เจ้าบอกจะให้ข้าเลี้ยงดูเจ้ามิใช่หรือ? ถ้าไม่มีเงินแล้วจะเลี้ยงเจ้าอย่างไร?”
ก่วนฟางอี๋ตาลุกวาวขึ้นมา “เตรียมจะแบ่งให้ข้าเท่าไรล่ะ?”
หนิวโหย่วเต้าก้มลงไปนับตั๋วแลกทองออกมาร้อยใบ ส่ายไปส่ายมาตรงหน้านาง
ก่วนฟางอี๋ตะครุบไปทันที กอดไว้ในอก ยิ้มร่าเอ่ยไปว่า “แบบนี้ค่อยใช้ได้หน่อย เช่นนั้นข้าก็ขอรับไว้เลยแล้วกัน”
หนิวโหย่วเต้านับออกมาอีกร้อยใบ ยื่นส่งให้สวี่เหล่าลิ่วที่อยู่ด้านข้าง
สวี่เหล่าลิ่วรับไปด้วยความมึนงง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร มองไปที่ก่วนฟางอี๋ที่ได้มากพอๆ กับตน
ก่วนฟางอี๋เลิกคิ้วมองหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาเย็นชา นึกสงสัยอย่างยิ่งว่าคนผู้นี้คิดจะยุแยงให้ความสัมพันธ์ของพวกนางระหองระแหงกันหรือ จึงเอ่ยถามไปว่า “เต้าเหยี่ย หมายความว่าอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกับสวี่เหล่าลิ่วว่า “เจ้านำเงินจำนวนนี้ไปมอบให้ขบวนเรือเหล่านั้น”
ก่วนฟางอี๋ผงะไป “ให้ขบวนเรือ? ผู้จ้างวานจ่ายเงินมัดจำไปให้พวกเขาก้อนใหญ่แล้ว ขาดอีกแค่ไม่เท่าไรแล้ว แค่ไม่กี่แสนเหรียญทองก็เพียงพอจะชดเชยความเสียหายของพวกเขาได้แล้ว นี่เจ้าหลอกสำนักหยกสวรรค์จนตัวเองพลอยโง่ไปด้วยเหรอไง?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าพาคนไปสอบถามถึงผู้จ้างวานที่อยู่เบื้องหลังพวกเขามาให้ชัดเจน ถามดูว่าจะติดต่อผู้จ้างวานได้อย่างไร ตัวข้าชอบคบค้าสหายอยู่แล้ว ให้พวกเขาไปทั้งหมดหนึ่งล้านนั่นแหละ ถือว่าจ่ายเงินสร้างความสุขให้สหาย วันหน้าอาจจะได้ติดต่อค้าขายกันอีก คนอย่างข้าไม่มีทางเอาเปรียบสหายอยู่แล้ว เข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”
สตรีชุดดำก็คือกุ่มหมู่ “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ข้าต้องการคน!”
“เชิญนั่ง! มีเรื่องใดก็นั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกันก่อน” หลังจากหนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญอีกฝ่ายนั่งแล้ว ตัวเขาก็นั่งลงในตำแหน่งตรงข้ามเช่นกัน ตั๋วแลกทองปึกหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะอีกครั้ง ดันเข้าไปหานาง “เรื่องในครั้งนี้เป็นข้าเล่นนอกกติกาเอง นี่คือน้ำใจเล็กน้อยที่มอบให้เพื่อขออภัย โปรดรับไว้ด้วยเถิด”
กุ่ยหมู่เอ่ยว่า “ข้าต้องการคน ไม่ใช่เงิน!”
หนิวโหย่วเต้าหันไปกล่าวกับก่วนฟางอี๋ว่า “ติดต่อไปหาสวี่เหล่าเอ้อร์ พาคนกลับไปส่งแทนข้าอย่างปลอดภัย ห้ามบุบสลายไปแม้แต่น้อย”
ก่วนฟางอี๋พยักหน้าส่งสัญญาณให้ลุงเฉินทันที ลุงเฉินหันหลังเดินออกไป
“ข้าปล่อยตัวคนแล้ว โปรดรับน้ำใจนี้ไปด้วยเถิด” หนิวโหย่วเต้าชี้ตั๋วแลกทอง
กุ่ยหมู่กล่าวว่า “ข้ายังไม่ได้พบตัวคนก็คิดจะไล่ข้าไปเช่นนี้แล้วหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “เกรงว่าถึงได้พบคนแล้ว กุ่ยหมู่ก็คงไม่คิดจะปล่อยข้าไปง่ายๆ อยู่ดีกระมัง?”
แววตากุ่ยหมู่วูบไหว
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “คนยังอยู่ที่แคว้นฉี ไม่ได้อยู่กับทางนี้ แต่ข้าสามารถรับรองกับท่านได้ว่าไม่มีทางเกิดปัญหาใดๆ ขึ้นแน่นอน ปัญหาในตอนนี้คือเขาลับแลช่วยเหลือข้าเท่ากับล่วงเกินซีย่วนต้าอ๋องเข้าแล้ว วันหน้าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?”
กุ่ยหมู่เอ่ยว่า “เรื่องนี้ยังจำเป็นต้องให้เจ้ามาเป็นกังวล เขาไม่ได้ปกปิดความลับที่สมควรจะปกปิดให้ดี ไม่มีสิทธิ์มาคิดบัญชีกับข้าเช่นกัน”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “ข้าเข้าใจดี ข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน เขาลับแลเหมาะจะให้ผู้บำเพ็ญเพียรผีได้ใช้บำเพ็ญเพียร ในอดีตกุ่ยหมู่ต้องการปักหลักในเขาลับแล บังเอิญว่าแคว้นจิ้นเข้าโจมตีแคว้นฉีพอดี ท่านจึงได้ทำข้อตกลงกับอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อนของแคว้นฉี ลงแรงช่วยต่อต้านศัตรู ทั้งยังรับประกันว่าหากในอนาคตแคว้นฉีถูกรุกรานจากแคว้นศัตรูก็จะลงแรงช่วยเหลือเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้ราชสำนักแคว้นฉีถึงได้ยกเขาลับแลให้ท่าน ซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่งย่อมไม่กล้าติดต่อกับเขาลับแลอย่างเปิดเผย”
กุ่ยหมู่เอ่ยเพียงว่า “รู้ก็ดี”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวต่อไป “ข้าเพียงค่อนข้างแปลกใจ เมื่อดูจากชีวิตควาเป็นอยู่ของจางสิงรุ่ยแล้ว เขาดูใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี มิคล้ายว่าถูกเฮ่าอวิ๋นเซิ่งจับเป็นตัวประกันเลย เขาลับแลก็ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องเสี่ยงทำเรื่องที่ชักนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเลย ไม่ง่ายเลยกว่าเหล่าผู้บำเพ็ญเพียนผีจะหาแหล่งพักพิงได้ กุ่ยหมู่จะไม่ทราบกฏหมายของแคว้นฉีเชียวหรือ เหตุใดถึงยังช่วยซีย่วนต้าอ๋องส่งออกม้าศึกโดยพลการเล่า?”
กุ่มหมู่ถาม “เจ้าคิดจริงๆ น่ะหรือราชสำนักแคว้นฉีไม่ทราบเรื่องการส่งออกม้าศึกชุดนี้?”
………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า