ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 377

ตอนที่ 377 พี่หญิงสมควรต้องขอบคุณข้าด้วยซ้ำถึงจะถูก!

พอได้ยินคำพูดนี้ หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วทันที เริ่มใช้ความคิดขึ้นมา

กุ่ยหมู่เอ่ยต่อว่า “ข้าอยู่ในแคว้นฉีมาร้อยกว่าปี เรื่องราวภายในบางอย่างข้าทราบกระจ่างแจ้ง หากราชสำนักไม่คิดจะปล่อยให้ส่งออกไป ม้าศึกชุดใหญ่เช่นนี้ก็ไม่มีทางขนออกไปได้ เฮ่าอวิ๋นเซิ่งรู้ความลับของข้า อีกทั้งยินดีจ่ายเงินให้ ข้าก็แค่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เขาเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้แต่แรกแล้ว หากเขาสามารถขนส่งม้าศึกออกมาได้ ข้าถึงจะยอมช่วย ดังนั้นเจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นเฮ่าอวิ๋นถูหรือเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง ก็ล้วนมาสืบสาวเอาความข้าไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามากังวล ตอนนี้เจ้าเพียงต้องคืนตัวคนให้ข้าตามที่รับปากไว้!”

มือของนางตบลงบนปึกตั๋วเงินบนโต๊ะ “เห็นแก่เงินจำนวนนี้ ข้าจะรับประกันกับเจ้าว่าขอเพียงคนยังปลอดภัยไม่บุบสลาย ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป ไม่เล่นงานเจ้า!”

พอเห็นว่าอีกฝ่ายมองความคิดในใจของนางออก แต่กลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด ยังคงพูดคุยยิ้มแย้มได้สบายๆ ทำให้นางไม่ค่อยมั่นใจขึ้นมา หากว่าอีกฝ่ายทำตามที่รับปากเอาไว้ นางก็คิดจะรับเงินจำนวนนี้เอาไว้เช่นกัน ไม่คิดจะหาเรื่องเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือแคว้นเยี่ยน

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าช้าๆ เอ่ยไปว่า “ขอบคุณสำหรับความใจกว้างของกุ่ยหมู่ เพียงแต่ถึงแม้กุ่ยหมู่จะยินยอมปล่อยข้าไป แต่เกรงว่าคงมีคนที่ไม่คิดจะปล่อยกุ่ยหมู่ไป!”

แววตากุ่ยหมู่เยียบเย็น “เจ้าคิดจะลองดีหรือ?”

“ไม่ๆ ไม่เลย! กุ่ยหมู่เข้าใจผิดแล้ว หาใช่ข้าไม่” หนิวโหย่วเต้าโบกมือไปมา “คนที่ไม่คิดจะละเว้นท่านมิใช่ข้า แต่เป็นเฮ่าอวิ๋นถูจักรพรรดิแคว้นฉี!”

ก่วนฟางอี๋ที่โบกพัดกลมยืนอยู่ด้านข้างมองหนิวโหย่วเต้าอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างมาก อยากเห็นนักว่าเจ้าคนผู้นี้จะเล่นลูกไม้อะไรอีก

พอเห็นหนิวโหย่วเต้ามีท่าทีคล้ายจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเลย นางก็เบาใจลงไม่น้อยเช่นกัน รู้จักกันมานานขนาดนี้ นางรู้ถึงความสามารถของหนิวโหย่วเต้ามาพอสมควรแล้ว ความเชื่อใจในตัวเขาก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน

แต่แน่นอน นางยังคงซ่อนยันต์อาคมไว้ในแขนเสื้ออยู่ เตรียมพร้อมจะนำออกมาใช้ตลอดเวลา

กุ่ยหมู่เอ่ยถาม “เจ้ากังวลใจมากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “หรือท่านคิดว่าอำนาจของเฮ่าอวิ๋นถูจะไม่สามารถทำลายล้างเขาลับแลของท่านได้?”

กุ่ยหมู่เอ่ยว่า “หากมีศัตรูเข้ารุกรานแคว้น เขาลับแลของข้ายินดีจะช่วยเป็นกำลังหนุนให้เขา เฮ่าอวิ๋นถูมิใช่คนโง่ ย่อมชั่งผลดีผลเสียได้ชัดเจน”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรื่องใด หากเขาลับแลคุกคามไปถึงราชบัลลังก์ของเขา เกรงว่าเขาคงเรียกระดมกำลังผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากเพื่อกวาดล้างเขาลับแลให้พังราบคาบ!”

กุ่ยหมู่เอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน “เขาลับแลของข้าจะเป็นภัยคุกคามราชบัลลังก์ของเขาอย่างนั้นหรือ? เจ้ากำลังหมายถึงเฮ่าอวิ๋นเซิ่งกระมัง? แค่ส่งคนมาช่วยคุ้มกันขบวนเรือให้เฮ่าอวิ๋นเซิ่งก็เป็นภัยคุกคามราชบัลลังก์เขาแล้วหรือ? ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ควบม้าท่องทั่วหล้า ทุกแห่งหนคือเส้นทาง ผู้พบพานคือสหาย หากว่ากุ่ยหมู่ไม่รังเกียจ ข้าอยากจะสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กับกุ่ยหมู่ ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นประการใด?”

จู่ๆ เขาก็เอ่ยออกมาเช่นนี้ หลายคนที่อยู่ด้านข้างฟังแล้วตกตะลึง

กุ่ยหมู่ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยเย้ยหยัน “เจ้าจะสาบานเป็นพี่น้องกับข้าหรือ? ตอนที่ชื่อเสียงข้าเลื่องลือ เกรงว่าปู่ของเจ้าคงยังไม่เกิดด้วยซ้ำ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสาบานเป็นพี่น้องกับข้า?”

“คิก…” ก่วนฟางอี๋ยกมือปิดปาก หัวเราะคิกคัก

กุ่ยหมู่เงยหน้ามอง “คำพูดของข้าน่าขบขันมากหรือ?”

“เปล่าๆ” ก่วนฟางอี๋พยายามกลั้นหัวเราะพลางโบกพัดกลมไปมา นางเพียงแต่อดหัวเราะไม่ได้จริงๆ นางนึกถึงลิ่งหูชิวพี่ชายร่วมสาบานคนนั้นของหนิวโหย่วเต้าขึ้นมา นางทราบดีว่าลิ่งหูชิวถูกจับตัวไปคุมขังเพราะใคร

สีหน้าของกงซุนปู้ก็ดูตกตะลึงอย่างมากเช่นกัน เขาพบว่าเต้าเหยี่ยชมชอบสาบานเป็นพี่น้องกับคนอื่นเหลือเกิน

หนิวโหย่วเต้าหันไปจ้องก่วนฟางอี๋อย่างเย็นชาเล็กน่อย แอบตำหนิในใจว่าสตรีนางนี้ไม่รู้จักให้ความร่วมมือเสียบ้างเลย จากนั้นก็หันกลับมาพลางเอ่ยว่า “เอาเถิด ในเมื่อกุ่ยหมู่ดูแคลนผู้น้อย เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องบางอย่างของทางแคว้นฉีโดยไม่จำเป็นแล้ว” เขาผายมือไปทางตั๋วแลกทองบนโต๊ะเล็กน้อย “โปรดเก็บตั๋วแลกทองไปเถิด จางสิงรุ่ยเองก็จะถูกส่งตัวกลับไปอย่างปลอดภัยเช่นกัน ท่านน่าจะได้รับข่าวภายในไม่กี่วันนี้ หากว่าท่านไม่ไว้วางใจก็สามารถอยู่จับตามองข้าได้ตลอด”

กล่าวจบก็ลุกขึ้นแล้วประสานมือคำนับ

ขณะที่กำลังหันหลังไป กุ่ยหมู่ที่แววตาวูบไหวไปมาพลันถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าการร่วมสาบานจอมปลอมเช่นนี้มันมีประโยชน์อย่างนั้นหรือ?”

ก่วนฟางอี๋บ่นในใจว่าจบเห่แล้ว การที่ถามออกมาเช่นนี้ก็แปลว่ากุ่ยหมู่ผู้นี้ติดกับดักคำพูดของหนิวโหย่วเต้าแล้ว เห็นได้ชัดว่ายังคงกังวลเรื่องที่เฮ่าอวิ๋นถูจะคิดเล่นงานเขาลับแลอยู่พอสมควร หากไม่ได้ทราบเรื่องอย่างชัดเจนก็เกรงว่าคงจะวางใจไม่ลงจริงๆ

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จะมีประโยชน์หรือไม่ก็ต้องลองดู ให้กาลเวลาพิสูจน์ใจคน! ต่อให้ไม่มีประโยชน์ แต่สำหรับพวกเรามันก็ไม่ได้มีความเสียหายใดๆ อย่างมากก็แค่ไม่ติดต่อคบค้ากันอีกจนกว่าจะตายจากกันไป”

กุ่ยหมู่เอ่ยว่า “ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่าได้หลอกลวงข้าจะเป็นการดีที่สุด!”

วาจาสื่อความหมายชัดเจนว่าหากเรื่องราวไม่เป็นไปตามที่เจ้าพูดมา สิ่งที่เรียกว่าการร่วมสาบานก็ไม่มีทางผูกมัดข้าได้

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “จะหลอกได้หรือ?”

พอกล่าวมาถึงตรงนี้กุ่ยหมู่ก็เอ่ยไปตรงๆ ว่า “เช่นนั้นก็เริ่มเลย!”

หนิวโหย่วเต้าหันไปสั่งการ “กงซุน ตั้งโต๊ะพิธี!”

มุมปากกงซุนปู้กระตุกเล็กน้อย พยักหน้าตอบ “ขอรับ!” หันหลังเดินออกไป

ก่วนฟางอี๋โบกพัดกลมในมือ เงยหน้ามองเพดาน มองซ้ายทีขวาที ไม่รู้ว่ากำลังมองหาอะไร

ลู่หลีจวินที่ติดตามอยู่ข้างกายกุ่ยหมู่ก็มีสีหน้าแปลกใจอย่างมากเช่นกัน ชำเลืองมองหนิวโหย่วเต้าที่ท่าทางขึงขังจริงจังอยู่เป็นระยะ

…..

โต๊ะพิธีถูกตั้งขึ้นนอกจุดพักม้า ผู้ร่วมสาบานทั้งสองยืนเคียงข้างกัน ธูปหอมอย่างดีถูกยื่นส่งให้ทั้งสองคน

หนิวโหย่วเต้ารับไปอย่างว่าง่าย ยกชายชุดขึ้นเล็กน้อยแล้วคุกเข่าลงไป

กุ่ยหมู่เหลียวมองเขาอยู่เงียบๆ พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างลังเล

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป?”

กุ่ยหมู่ถามว่า “ได้ยินว่าลิ่งหูชิวอะไรนั่น รวมถึงผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักหยกสวรรค์ก็ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับเจ้าด้วยมิใช่หรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า