ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 404

ตอนที่ 404 สายลมพัดโชยมาอีกครั้ง

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าหางที่ใหญ่โตราวกับเสาค้ำนภาของราชาแมงป่องทรายจะเคลื่อนไหวปราดเปรียวเช่นนี้

“กรู้ว!” วิหคยักษ์ที่โฉบต่ำลงไปพลันร้องด้วยความหวาดกลัว หลบหลีกหางขนาดใหญ่ที่โจมตีเข้ามาพร้อมสายลมกระโชกไม่ทันแล้ว

“ไป!” ชายไว้เคราพลันอุทานขึ้นมา

สถานการณ์เร่งด่วน ทั้งสามรีบแยกย้ายกันออกจากหลังวิหคยักษ์ เวลานี้ต่างต้องหนีเอาชีวิตรอด จึงไม่มีผู้ใดสนใจผู้ใดอีก การโจมตีนั้นเพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าสามารถเอาชีวิตคนได้จริงๆ

ผัวะ! หยาดโลหิตสาดกระจายกลางอากาศ ขนนกปลิวว่อน วิหคยักษ์ถูกหางใหญ่ยักษ์นั้นฟาดใส่ ไม่ทันแม้แต่จะกรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ

จากนั้นหางที่ใหญ่ราวกับเสาค้ำนภาก็เหวี่ยงเป็นวงกลางอากาศ ฟาดไปทางเจ้าบอดที่ไร้ดวงตาจึงไม่รู้ว่าร่วงหล่นไปในทิศทางใด

ทิศทางที่เจ้าบอดลอยออกไปคือทิศทางที่ราชาแมงป่องทรายกำลังมุ่งหน้าไปพอดี

หางแมงป่องสีเหลืองทองราวกับเหล็กหมาดสีทองขนาดใหญ่อันหนึ่ง ทอแสงทองอร่ามอยู่ภายใต้แสงตะวัน พุ่งแทงออกไปจนเกิดเสียงหวีดหวิว

โสตรับเสียงของเจ้าบอดยังคงยอดเยี่ยม รับรู้ได้ถึงอันตราย จึงพลิกตัวซัดฝ่ามือออกไปอย่างเต็มแรง หวังจะหยิบยืมแรงในการหลบหลีกอยู่กลางอากาศ

“เจ้าบอด!”

ชายไว้เคราและชายไร้เคราอุทานออกมาแทบจะพร้อมเพียงกัน หลังรอดพ้นจากอันตรายแล้ว ทั้งสองถึงได้รู้สึกตัวว่าในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอันตรายต่อเจ้าบอดที่มองไม่เห็นมากนัก

แก๊ง! หางสีเหลืองทองแหลมคมเจาะทำลายปราณฝ่ามือนั้นลงได้อย่างง่ายดาย จากนั้นแทงเข้าไปในอกของเจ้าบอดจนเกิดเสียงดังสวบในทันใด

“อ๊าก!” เจ้าบอดที่ห้อยค้างอยู่บนเข็มพิษขนาดใหญ่มหึมาร้องโหยหวนขึ้นมา แขนขาสะบัดตะเกียกตะกาย

สองก้ามยื่นออกไปรับเหยื่อมาจากปลายหาง หย่อนเข้าปากไปทั้งตัว เขมือบเจ้าบอดเข้าไปทั้งเป็นท่ามกลางสายตกตะลึงของทุกคน

เรื่องนี้เกิดขึ้นแทบจะในชั่วพริบตาเท่านั้น

ชายหญิงที่อยู่บนหลังวิหคขนหลากสีที่ไล่ตามมาก็ได้รู้ซึ้งถึงพลังโจมตีและการป้องกันอันแข็งแกร่งของราชาแมงป่องทรายแล้ว ต่างสบตากันอย่างเงียบๆ

ราชาแมงป่องทรายยังคงวิ่งตะลุยมุ่งไปด้านหน้า หยวนกังที่อุ้มซูจ้าวไว้เหลียวหน้ากลับไปมอง ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าเปรอะเปื้อนคราบโลหิต ผมสยายปลิวไปตามลม

ชายไว้เคราและชายไร้เคราเหินทะยานขึ้นๆ ลงๆ อยู่ท่ามกลางฝูงแมงป่องทรายเพื่อหลบหลีกการโจมตี สีหน้าดูแย่เป็นอย่างยิ่ง

สำหรับหอจันทร์กระจ่างแล้ว เจ้าบอดคือสมบัติล้ำค่า เป็นคนสำคัญที่ต้องปกป้องไว้ให้ดี แต่ตอนนี้กลับต้องเสียอีกฝ่ายไปเพราะการกิจในครั้งนี้ กลับไปครั้งนี้ทั้งสองคงยากจะแก้ตัวได้จริงๆ

โชคยังดีที่เจ้าบอดตายเพราะราชาแมงป่องทรายที่พบเห็นได้ยาก นี่เป็นเรื่องสุดวิสัยที่อยู่เหนือการควบคุม พอจะใช้แก้ตัวได้ในระดับหนึ่ง

ปัญหาในตอนนี้คือเป้าหมายได้รับการปกป้องจากราชาแมงป่องทราย การโจมตีของราชาแมงป่องทรายเมื่อครู่นี้ ทั้งสองต่างได้เห็นแล้ว หนำซ้ำยามนี้ทั้งสองก็ตกอยู่ท่ามกลางกองทัพแมงป่องทราย ไม่มีที่ให้เหยียบเท้าเหินทะยาน หากเสียเวลาอยู่เช่นนี้ต่อไป ทันทีที่พลังปราณร่อยหรอลง ทั้งสองต้องตายอย่างไร้ที่ฝังศพแน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ราชาแมงป่องทรายเลย แค่ฝูงแมงป่องทรายก็สามารถสังหารพวกเขาได้แล้ว

ในที่สุดทั้งสองก็ต้องหยุดการตามล่า กระทั่งกองทัพแมงป่องทรายทางด้านล่างเคลื่อนผ่านไปดั่งกระแสน้ำหลากแล้ว ทั้งคู่ก็ร่อนลงสู่พื้นทราย เฝ้ามองราชาแมงป่องทรายวิ่งฝุ่นตลบจากไปไกลพร้อมกับเหล่าแมงป่องทรายจำนวนมหาศาลที่ติดตามไปด้วย ทั้งสองไม่จำเป็นต้องปลืองกำลังเพื่อไล่ตามอีกต่อไป ทำได้เพียงมองดูเป้าหมายหลบหนีไปโดยไม่อาจทำอะไรได้ไอรีนโนเวล

…….

หยวนกังที่ผมปลิวสะบัดยุ่งเหยิงก็มองไปทางด้านหลังเช่นกัน จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนอากาศ ไม่รู้ว่าอีกสองที่อยู่บนวิหคยักษ์ขนหลากสีใช่ศัตรูหรือไม่ แต่เมื่อมองจากเครื่องแต่งกายแล้ว ดูไม่คล้ายคนของหอจันทร์กระจ่างที่ตามไล่ล่ามาก่อนหน้านี้

“คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?” สตรีที่อยู่บนหลังวิหคยักษ์ขนหลากสีมองหยวนกังที่อุ้มคนอยู่ด้านล่างพลางเอ่ยถาม

ชายคนนั้นก็จ้องมองเช่นกัน เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบขอรับ ข้าก็เพิ่งเคยเจอคนที่สามารถควบคุมแมงป่องทรายได้เป็นครั้งแรก เรื่องควบคุมราชาแมงป่องทรายยิ่งไม่เคยยลยินมาก่อนเลย”

ฝ่ายสตรีถามออกไป “พวกเขาจะไปที่ใด?”

ชายคนนั้นตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ”

คนในอ้อมแขนขยับตัวเล็กน้อย ดูเหมือนจะถูกสายลมกระโชกที่พัดโบกเข้ามาตลอดทางปลุกให้ฟื้น หยวนกังก้มหน้ามอง

เขาเห็นซูจ้าวลืมตาขึ้นแล้ว พวงแก้มแดงเรื่อ สองเนตรสดใสขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แววตาไม่ได้มืดมนไร้แววเช่นก่อนหน้านี้อีก

ภาพนี้ทำให้หยวนกังใจหายวาบ เขาเคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เสมือนแสงสายัณห์ก่อนที่ตะวันจะลาลับ

ซูจ้าวมองเห็นกองทัพแมงป่องทรายวิ่งยั้วเยี่ย แต่กลับไม่เข้าใจว่าตนอยู่บนสิ่งใดถึงได้เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสูง หยวนกังที่โอบอุ้มนางอยู่ก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยชัดๆ ไม่คล้ายว่ากำลังวิ่งอยู่เลย

ร่างกายของราชาแมงป่องทรายใหญ่โตมโหฬารอย่างมากจริงๆ หากไม่ได้อยู่ในระยะไกลแล้วมองเข้ามาหรือไม่ทราบเรื่องราวมาก่อนก็คงจะนึกไม่ออกจริงๆ

นางถามเสียงเบา “พวกเราอยู่ที่ไหนเหรอ?”

ไม่สามารถเล่าเรื่องราวให้กระจ่างได้ภายในไม่กี่ประโยค หยวนกังจึงเอ่ยให้ปลอบโยนไปว่า “อดทนอีกนิด พวกเราพ้นอันตรายแล้ว อีกไม่นานก็จะไปถึงหอไร้ขอบเขตแล้ว”

“พ้นอันตรายแล้วหรือ?” ซูจ้าวกะพริบตา ยิ้มน้อยๆ เอ่ยออกมาว่า “ดีจริงๆ!”

ดวงตานางจ้อมองไปที่เขา ใบหน้าแต้มรอยยิ้มจางๆ ทว่ามีโลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปากอีกครั้ง

หยวนกังตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นแล้วแผดร้องเสียงดัง “อ๊าก!”

ท่ามกลางทะเลทรายเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมดังสวบสาบขึ้นพักหนึ่ง ราชาแมงป่องทรายหยุดวิ่งอย่างกะทันหัน หยวนกังยื่นเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนส่วนที่นูนขึ้นมาจากเปลือกหุ้มของราชาแมงป่องทรายจึงไม่ถูกเหวี่ยงจนกระเด็นออกไป พยายามรักษาสมดุลร่างกายไว้เพื่อลดความเจ็บปวดให้ซูจ้าว

ราชาแมงป่องทรายส่ายหางอย่างเร่งร้อน เกิดเสียงดังหึ่งๆ ขึ้นมา

กองทัพแมงป่องทรายที่วิ่งตะลุยอยู่ก็รีบหยุดลงทันที แต่ก็มีแมงป่องทรายจำนวนไม่น้อยที่พุ่งชนกันจนพลิกหงาย

วิหคยักษ์ขนหลากสีบินวนรอบหนึ่งแล้วกลับมาอีกครั้ง บินวนอยู่บนฟ้าโดยรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยไว้

หยวนกังเงยหน้าตะโกนขึ้นไปฟ้า “กล้าลงมาคุยกันหรือไม่?”

บุรุษที่อยู่บนหลังวิหคยักษ์ขนหลากสีใช้พลังขยายเสียง “ไยจะไม่กล้า?”

พอกล่าวจบ วิหคยักษ์ขนหลากสีที่บินวนอยู่ก็ลดระดับลงมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า