ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 405

ตอนที่ 405 เสวียนเวยแห่งแคว้นเว่ย

มีทรายจำนวนมหาศาลปิดกั้นอยู่ คนทั้งสามก็มองไม่เห็นเช่นกันว่าราชาแมงป่องทรายกำลังทำอะไรอยู่ รอบข้างล้วนล้อมรอบไปด้วยทราย มองเห็นเพียงว่าสิ่งที่อยู่ใต้เท้ายังคงเป็นร่างของราชาแมงป่องทรายเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นเพราะมีพลังของชายสะพายกระบี่ช่วยสกัดไว้ให้

จู่ๆ ก็มีเสียง ‘โผละ’ ดังขึ้นมาภายในโพรง คล้ายกับมีบางสิ่งถูกเจาะทะลวง

ราชาแมงป่องเองก็หยุดนิ่งไปแล้ว

ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อ สองชายหญิงมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

หยวนกังดูเหมือนจะเข้าใจว่าราชาแมงป่องทรายทำอะไรอยู่ เนื่องจากเขาคือผู้ออกคำสั่งต่อราชาแมงป่องทราย เขารู้ดีว่าตนใช้ให้ราชาแมงป่องทรายทำอะไร

ทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ไร้สถานที่กลบฝัง เขาจึงสั่งให้ราชาแมงป่องทรายตามหาสถานที่เหมาะสำหรับฝังร่างของซูจ้าวให้ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามันทำอะไร

หยวนกังมองกำแพงทรายตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “รบกวนช่วยเปิดเส้นทางด้านหน้าให้ด้วย”

บุรุษผู้คุ้มกันของสตรีนางนั้นก้าวออกไปสองสามก้าว แทงดาบสามคำรามออกไปด้านหน้า ปราณดาบสายหนึ่งพุ่งออกมา ตูม! ปราณดาบทะลวงผ่านกำแพงทรายไปตรงๆ จากนั้นเขาก็ซัดฝ่ามือออกไปคราหนึ่ง ดาบสามคำรามหลุดออกจากมือ หมุนคว้างในอากาศอย่างรวดเร็ว ทำให้ปราณดาบหมนุวนรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็พุ่งทะลวงเปิดเส้นทางมืดมิดสายหนึ่งให้

ชายคนนั้นโบกแขนเล็กน้อย พุ่งตัวออกไปคว้าดาบสามคำรามกลับมา เกราะปราณคุ้มกายห่อหุ้มคนทั้งสามไว้พาพวกเขาเข้าไปในโพรงมืดมิดไปพร้อมกัน

เรียกได้ว่าพาทั้งสามพุ่งผ่านไปตามอุโมงค์อันมืดมิดในชั่วพริบตา แสดงให้เห็นถึงพลังปราณและความสามารถในการควบคุมพลังอันเลิศล้ำของชายคนนั้น

ด้านหลังมีเสียงพังถล่มของอุโมงค์อันมืดมิดดังขึ้นมา

ไข่มุกราตรีที่ลอยอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นพุ่งออกไปแล้วหล่นลงบนพื้นด้านหน้า

พื้นปูด้วยแผ่นหิน กำแพงศิลาสลักลวดลาย เป็นโถงใต้ดินที่มีขนาดกว้างขวางห้องหนึ่ง คล้ายจะเป็นวังใต้ดินแห่งหนึ่ง

มีแมงป่องทรายขนาดน้อยใหญ่จำนวนมากมายคืบคลานอยู่ในวังใต้ดิน เริ่มแรกต่างกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่พอรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของหยวนกังก็พากันถอยกรูดออกไปดั่งกระแสน้ำหลาก

ภายในทรายทางด้านหลังมีเสียงขยับพลิกตัวดังออกมา จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป ทั้งสามคนต่างรับรู้ได้ว่าเหมือนราชาแมงป่องทรายจะจากไปอย่างเงียบๆ แล้ว

มีแสงสว่างอีกสายหนึ่งสาดส่องออกมา ชายที่สะพายกระบี่ไว้ปล่อยผีเสื้อจันทราออกมา กระพือปีกโบยบิน ส่องแสงพร่างพราวช่วยเพิ่มความสว่างให้วังใต้ดินมากขึ้น

สองชายหญิงอาศัยแสงสว่างสำรวจดูรอบข้าง มองเห็นว่าบนเสาหินของวังใต้ดิน รวมถึงบนผนังศิลาล้วนเต็มไปด้วยภาพสลักทางพุทธศาสนา บนผนังหลักเบื้องหน้าที่ผีเสื้อจันทราโบยบินส่องสว่างอยู่เป็นพุทธรูปขนาดมหึมานั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัว

วังใต้ดินแห่งนี้ค่อนข้างแปลก เรื่องแมงป่องทรายขอไม่เอ่ยถึงแล้ว แต่ในตำแหน่งตรงกลางทางด้านล่างผนังหลักมีโลงหินหยกสีดำหนาทึบขนาดใหญ่จัดวางไว้ใบหนึ่ง บนโลงหินสลักลายเมฆมงคลและดอกบัวที่งดงามประณีตเอาไว้ มีรูปพุทธองค์เหยียบย่างไปตามเมฆมงคล

เพียงแต่บนโลงหินมีร่องรอยถูกงัดแงะ ฝาโลงหักครึ่ง ครึ่งหนึ่งหล่นอยู่บนพื้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งพาดอยู่บนโลงหิน บนพื้นยังมีเศษอาภรณ์เก่าขาดอยู่ด้วย บนอาภรณ์ปักลวดลายเก่าแก่งามวิจิตรไว้

ทำให้มองออกว่าวังใต้ดินแห่งนี้ดำรงอยู่มาไม่รู้นานเท่าไรแล้ว

สองชายหญิงเดินตามหลังหยวนกังที่มุ่งหน้าไปยังข้างโลงหิน พบว่าด้านในว่างเปล่า ไม่มีศพบรรจุอยู่ มีฝุ่นจับหนาเป็นชั้น

จากสภาพของโลงหินทำให้มองออกว่าเมื่อนานมาแล้วที่นี่เคยถูกคนเข้ามาขุดสุสานไปแล้ว

สองชายหญิงสบตากันเล็กน้อย คล้ายจะเข้าใจแล้วว่าหยวนกังจะทำอะไร

ฝ่ายสตรีหันไปส่งสัญญาณให้เล็กน้อย ฝ่ายชายยื่นมือข้างหนึ่งออกไป พลังปราณถ่ายเทเข้าไปไหลวนอยู่ในโลงหิน ฝุ่นผงด้านในไหวกระเพื่อม ทว่าไม่ได้ฟุ้งกระจายออกมา ม้วนตลบก่อตัวกันเป็นก้อนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นก้อนฝุ่นลูกหนึ่ง

หลังจากภายในโลงหินสะอาดเอี่ยมแล้ว ฝ่ายชายก็สะบัดมือเล็กน้อย ก้อนฝุ่นลอยออกมา ร่วงหล่นลงบนมุมหนึ่งของวังใต้ดินแล้วสลายตัวเป็นฝุ่นผง

หยวนกังโน้มตัววางร่างซูจ้าวลงในโลงหินอย่างระมัดระวัง หลังจากจัดท่าทางให้นางเรียบร้อยแล้วก็เดินไปยังด้านข้าง สองแขนโอบยกฝาโลงหักครึ่งที่พาดอยู่บนโลง กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นก็ยกฝาโลงหักครึ่งขึ้นมา วางประกบกลับเข้าไปยังตำแหน่งเดิมบนโลง

สตรีนางนั้นยังไม่เท่าไร เพราะไม่ค่อยรู้เรื่องความหนักเบาของวัตถุมากนัก

ทว่าฝ่ายชายกลับหางตากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เขามองออกว่าหยวนกังไม่ได้ใช้พลังปราณเลย ส่วนฝาโลงหักครึ่งนี้เกรงว่าจะหนักนับพันจิน แต่คนผู้นี้กลับใช้พละกำลังยกขึ้นมาได้อย่างไม่เปลืองแรง

เขาทราบชัดเจนดี หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา ถ้าไม่ใช้พลังปราณช่วยเหลือ คาดว่าเขาคงงัดสักมุมหนึ่งให้กระดิกไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่จะยกขึ้นมาเลย

หยวนกังหันกลับไปยกฝาโลงอีกครึ่งหนึ่งบนพื้นที่มีขนาดใหญ่กว่าขึ้นมา ประกบคืนไปบนโลง ทำให้ฝาโลงที่หักเป็นสองท่อนได้กลับมารวมตัวกันในสภาพเดิมอีกครั้ง

หลังจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ หยวนกังหันไปมองแมงป่องทรายที่อยู่ตรงมุมห้องเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปรับดาบสามคำรามในมือชายคนนั้นมา ใช้ดาบกรีดฝ่ามือเล็กน้อย โลหิตไหลออกมาทันที

สองชายหญิงผงะไป จ้องมองเขา เพราะไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงทำร้ายตัวเอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า