ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 426

สรุปบท ตอนที่ 426 ถุงแพรใบที่สอง: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 426 ถุงแพรใบที่สอง – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บท ตอนที่ 426 ถุงแพรใบที่สอง ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 426 ถุงแพรใบที่สอง

บนถนนหลวง คณะเดินทางของเผิงโย่วไจ้ควบม้าห้อทะยาน หลังจากมาถึงจุดพักม้าแห่งหนึ่ง ทั้งหมดก็แวะเข้าไปพักผ่อนครู่หนึ่ง

ศิษย์สำนักหยกสวรรค์บ้างก็รีบเข้าไปตรวจสอบด้านใน บ้างก็เตรียมการเฝ้าระวังทั้งด้านในและด้านนอก เกิดเสียงเอะอะจากคนและม้าแว่วดังอยู่สักพัก เกิดฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่วด้านในจุดพักม้า

เผิงโย่วไจ้ที่ลงจากม้าหันไปมองซางเฉาจงเล็กน้อย

เขาสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าตลอดทางมานี้ ดูเหมือนซางเฉาจงจะมีเรื่องราวในใจ

เขายิ้มน้อยๆ เดินเข้าไปหา เอ่ยถามออกไป “ท่านอ๋องพะวงถึงแม่ทัพเหมิงกระมัง? ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงให้แม่ทัพเหมิงรั้งอยู่ช่วยเฟิ่งหลิงปอชั่วคราวเท่านั้น เอาไว้สถานการณ์ของมณฑลหนานโจวมั่นคงแล้ว แม่ทัพเหมิงย่อมจะกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”

ก่อนที่สถานการณ์ของมณฑลหนานโจวจะมั่นคงอย่างสมบูรณ์ และก่อนที่จะกวาดล้างและผนวกรวมกองกำลังของซางเฉาจงได้อย่างสมบูรณ์ เขาไม่อาจบุ่มบ่ามลงมือกับซางเฉาจงได้ เขายังคงพยายามคิดหาทางให้ซางเฉาจงอยู่อย่างสงบ หากสามารถจัดการปัญหาได้โดยไม่เกิดความวุ่นวายใดๆ ขึ้น นั่นย่อมต้องเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

กล่าวจบก็หันหลังเดินออกไป พาเหล่าผู้อาวุโสที่ติดตามมาด้วยเข้าไปพักผ่อนในจุดพักม้า เขาไม่มีความจำเป็นต้องรั้งอยู่เพื่อเอาใจซางเฉาจงเลย พูดจาดีๆ สักสองสามประโยคก็พอแล้ว

แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าเหมิงซานหมิงได้ปกปิดเรื่องที่รั้งอยู่กับทางเฟิ่งหลิงปอเอาไว้ ไม่ได้บอกให้พวกซางเฉาจงทราบ เขานึกว่าพวกซางเฉาจงต่างรู้เรื่องแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่เอ่ยออกไปเช่นนี้

พวกซางเฉาจงผงะไปเล็กน้อย ตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะว่ามันความหมายว่าอย่างไร กระทั่งเข้าใจคำพูดของเผิงโย่วไจ้ขึ้นมา สีหน้าของแต่ละคนพลันแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง

พวกเขารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าตนมีภัยคุกคามถึงชีวิตอยู่ รู้แต่แรกแล้วว่าสำนักหยกสวรรค์อาจจะต้องการลงมือกับทางนี้ แต่ก็ทำได้เพียงคอยระมัดระวัง ไม่กล้าพูดอะไรออกไป พอรู้ว่าเหมิงซานหมิงถูกแยกตัวออกไป พวกเขาก็เข้าใจได้ทันที อีกฝ่ายต้องการลงมือกับเหมิงซานหมิงแล้ว!

ซางเฉาจงคิดจะเดินตามไปในทันใด อยากจะตามไปสอบถามเผิงโย่วไจ้ให้รู้เรื่อง

หลานรั่วถิงคว้าแขนเขาไว้ทันที ซางเฉาจงหันขวับกลับมา ขบกรามจนแก้มตึง สีหน้าโกรธเกรี้ยว

“ท่านอ๋อง อย่าวู่วามพ่ะย่ะค่ะ!” ดวงตาของหลานรั่วถิงเองก็ฉายแววโศกเศร้าระคนโกรธเคือง แต่กลับพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ ส่ายหน้าให้ซางเฉาจงเล็กน้อย สื่อว่าไม่ควรตามไปซักถาม

ซางซูชิงกัดริมฝีปากแน่น สีหน้าอึมครึม ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา

ไป๋เหยาเดินออกมาจากห้องพักของจุดพักม้า มองเห็นว่าสีหน้าของทั้งสามค่อนข้างผิดปกติ จึงนึกสงสัยเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเอ่ยไปว่า “ท่านอ๋อง เตรียมห้องพักเรียบร้อยแล้ว พักดื่มน้ำล้างหน้าล้างตาหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ แต่ก็เร็วหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ หยุกพักได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ประเดี๋ยวต้องเร่งเดินทางต่อ”

หลานรั่วถิงกลัวว่าซางเฉาจงจะหุนหันพลันแล่น จึงรีบยิ้มแล้วเอ่ยตอบว่า “ได้!”

ทั้งสามเข้าไปในห้องพักของจุดพักม้า เข้าไปในห้องพักห้องหนึ่งที่จัดเตรียมไว้สำหรับทั้งสาม

หลานรั่วถิงส่งสัญญาณให้องครักษ์ติดตามสองนายเฝ้าประตูไว้ หลังจากนั้นรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว

พอประตูปิดลง ซางซูชิงก็ควบคุมอารมณ์ของตนไม่อยู่อีกต่อไป น้ำตาอุ่นร้อนไหลเอ่อล้นออกมา นางปิดปากตัวเองไว้ สะอื้นไห้เบาๆ ไม่กล้าให้คนด้านนอกได้ยินเสียงร้องไห้ของตัวเอง

กระทั่งจะร้องไห้ก็ยังไม่กล้าร้องอย่างเต็มที่ อารมณ์และความกดดันในเวลานี้ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกจะเข้าใจได้ สถานการณ์ของพวกเขายากลำบากมากจริงๆ

ซางเฉาจงชกหมัดเข้ากับฝ่ามือของตนเสียงดังพลั่ก! ชกฝ่ามือตนเพื่อระบายความเศร้าหมองและความขุ่นข้องภายในใจ

“ท่านอ๋อง ท่านหญิง ยิ่งในเวลาแบบนี้ยิ่งต้องใจเย็นเอาไว้นะพ่ะย่ะค่ะ พวกเราไม่อาจวู่วามได้” หลานรั่วถิงเอ่ยปลอบทั้งสองเบาๆ ไม่กล้าส่งเสียงดัง

ซางซูชิงส่ายหน้าไปมา สีหน้าย่ำแย่ เอ่ยสะอื้นเบาๆ “หลังจบศึกท่านลุงเหมิงเอาแต่จ้ำจี้จ้ำไชตลอด เขาไม่ใช่คนที่ชอบบ่นจู้จี้เลย แต่เมื่อวานกลับเอาแต่จ้ำจี้จ้ำไชเรื่องวิวาห์ของข้า ข้าน่าจะมองออกแต่แรกแล้วถึงจะถูก เป็นความผิดของข้าเอง ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง เขายอมสละตัวเองเพื่อพวกเรา…แต่ข้ากลับไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของเขาเลย ไม่เคยเฉลียวใจเลยสักนิด ข้าผิดต่อท่านลุงเหมิง”

หลานรั่วถิงเอ่ยปลอบอีกครั้ง “ท่านหญิง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงหายใจฟืดฟาด ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้พวกชาติสุนัข ข้าจะไปคุยกับพวกเขา หากพวกเขากล้าลงมือกับท่านลุงเหมิงก็ลองดู อย่างมากข้าก็แค่ทำให้พวกเขาล่มจมไปด้วยกันเท่านั้น!”

“ท่านอ๋อง!” หลานรั่วถิงรัดแขนข้างหนึ่งของซางเฉาจงเอาไว้ รัดเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย รีบเอ่ยด้วยความร้อนใจว่า “อย่าวู่วามเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”ไอรีนโนเวล

“ปล่อย!” ซางเฉาจงกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ไม่ไหว “พวกเขากำลังจะลงมือกับแม่ทัพเหมิงแล้ว ท่านจะทนมองแม่ทัพเหมิงตายไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ?”

แต่หลานรั่วถิงกลับไม่ยอมปล่อยมือ พยายามเอ่ยเว้าวอนด้วยความหวังดี “ท่านอ๋อง กระหม่อมไหนเลยจะไม่ทราบว่าชีวิตแม่ทัพเหมิงตกอยู่ในอันตราย แต่ท่านอ๋องลองตรองดูสิพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดท่านแม่ทัพเหมิงต้องปิดปังพวกเราเช่นนี้? ก็เพราะเขากลัวท่านอ๋องจะวู่วามอย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ! อีกฝ่ายแยกตัวแม่ทัพเหมิงออกไปเพื่อลงมือ ก็แปลว่าอีกฝ่ายยังไม่คิดจะลงมือกับท่านอ๋อง เพียงจะตัดปีกที่คอยช่วยพยุงท่านอ๋องทิ้งเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพเหมิงทราบเรื่องนี้ดี แม่ทัพเหมิงจงใจปิดบังพวกเรา ก็เพราะต้องการสละชีวิตตนเพื่อปกป้องท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉบับแรกเขียนเอาไว้เพียงไม่กี่แถว ‘หากมีภัยคุกคามถึงชีวิต ให้นำจดหมายแนบอีกฉบับไปส่งมอบต่อสำนักหยกสวรรค์ จะสามารถคลี่คลายวิกฤตได้!’艾琳小說

พอเห็นเช่นนี้ทั้งสามก็มองกันไปมองกันมา

ซางเฉาจงรีบดึงจดหมายแผ่นแรกออกไปโดยเร็ว อ่านจดหมายที่แนบอยู่ด้านล่างต่อ

บนจดหมายเขียนไว้เพียงว่า รายงานด่วน! มณฑลจินโจวระดมกำลังทหารสามแสนนาย เตรียมบุกโจมตีมณฑลหนานโจว! หนิวโหย่วเต้า!

เนื้อความในจดหมายแนบก็สั้นกระชับอย่างมาก ทั้งสามมองหน้ากัน

ซางเฉาจงลังเล “จะให้อาศัยข่าวเท็จนี้คลี่คลายวิกฤติอย่างนั้นหรือ? อีกทั้งสำนักหยกสวรรค์ก็มิใช่คนโง่ ไม่ว่าจะเป็นทางมณฑลจินโจวหรือว่าทางวังสวรรค์หมื่นวิมานก็ไม่มีทางส่งกำลังทหารมาเพื่อพวกเรา หากจินโจวและหนานโจวปะทะกัน มันก็มีแต่จะทำให้แคว้นเยี่ยนและแคว้นจ้าวได้ประโยชน์ ไห่อู๋จี๋ฮ่องเต้แคว้นจ้าวจะต้องฉวยโอกาสเข้าโจมตีจินโจวแน่นอน แล้วทางจินโจวจะระดมกำลังเข้าโจมตีหนานโจวได้อย่างไร? เช่นนี้…เช่นนี้…สำนักหยกสวรรค์จะเชื่อหรือ?”

หลานรั่วถิงก็มีสีหน้าจืดเจื่อนเช่นกัน รู้สึกว่าเนื้อหาในจดหมายดูไม่คล้ายฝีมือของเต้าเหยี่ยเลย อาศัยเพียงข้อความนี้ อย่างมากก็ตบตาได้แค่พักหนึ่งเท่านั้น ให้ไปหลอกลวงสำนักหยกสวรรค์เช่นนี้ ดูคล้ายเป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายในช่วงเข้าตาจนมากกว่า หากสำนักหยกสวรรค์ไปตรวจสอบข่าวทีหลังแล้วพบว่าเป็นข่าวเท็จ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเราได้ข้ามเส้นไปแล้ว นั่นจะทำให้สำนักหยกสวรรค์รู้ว่าทางนี้ไม่ยินดีจะอยู่เฉย เกรงว่าจะเป็นการทำให้สำนักหยกสวรรค์ลงมือกำจัดเราทั้งหมด

ตอนนี้สำนักหยกสวรรค์ต้องการเข้ายึดครองมณฑลหนานโจวอย่างสงบราบรื่น ไม่อยากทำอะไรรุนแรงเกินไปจนอาจจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ ทางนี้ก็อยากจะเก็บตัวอยู่เงียบๆ เช่นกัน อย่างน้อยก็พอจะรักษาสมดุลอันเปราะบางเอาไว้ได้

ซางซูชิงเองก็ลังเลใจกับเนื้อความในจดหมายอยู่เล็กน้อยเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ยังคงเอ่ยโน้มน้าวว่า “ในเมื่อเต้าเหยี่ยสั่งการมาเช่นนี้ ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรโดยไร้สาเหตุ เขาจะต้องมีเหตุผลอยู่แน่นอน มิสู้ลองทำตามความคิดของเต้าเหยี่ยดู!”

หลานรั่วถิงลูบเคราพลางเอ่ยด้วยความลังเล “ความสามารถของเต้าเหยี่ยพวกเราก็ได้ประจักษ์มาหลายครั้งแล้ว ใช่ว่ากระหม่อมจะไม่เชื่อใจในฝีมือของเขา แต่เรื่องนี้…หลอกไม่ได้แม้แต่พวกเราด้วยซ้ำ แล้วจะไปหลอกสำนักหยกสวรรค์ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”

ดวงตาซางซูชิงกลับฉายฉายแววมุ่งมั่น “เสด็จพี่ อาจารย์หลาน ข้าอยู่ร่วมกับเต้าหยี่ยมานานหลายปี ข้ารู้จักนิสัยของเต้าเหยี่ยดี ข้าเชื่อมั่นในตัวเต้าเหยี่ย อย่างน้อยที่สุด หากคิดจะช่วยท่านลุงเหมิง เวลานี้พวกเรายังเหลือวิธีการอื่นอีกหรือ? ในเมื่อมีโอกาสให้ลองดู พวกเราจะทนมองท่านลุงเหมิงก้าวสู่ความตายโดยไม่ทำอะไรได้หรือ? เสด็จพี่ อาจารย์หลาน จัดการตามวิธีของเต้าเหยี่ยเถิด!”

พอเอ่ยเรื่องช่วยเหลือเหมิงซานหมิงขึ้นมา มันก็ทำให้ซางเฉาจงตัดสินใจได้ในทันที เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ตกลง!”

“เฮ้อ!” หลานรั่วถิงรู้ดีว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เต้าเหยี่ยคนนี้มักจะทำอะไรที่คาดเดาไม่ได้อยู่เสมอ อีกทั้งมักจะทำให้คนอื่นต้องหวั่นใจอยู่ร่ำไป”

…………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า