ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 427

ตอนที่ 427 เหมือนจะเป็นลายมือของหนิวโหย่วเต้าจริงๆ

ทางนี้เพิ่งจะทำการตัดสินใจได้ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูแว่วมา หลานรั่วถิงออกไปเปิดประตู

ด้านนอกประตู ไป่เหยายืนอยู่ข้างทหารองครักษ์ เอ่ยเสียงเรียบว่า “อาจารย์หลาน เตรียมออกเดินทางได้แล้ว” สายตาเขากวาดมองใบหน้าหลานรั่วถิง พบว่าหลานรั่วถิงยังไม่ได้ล้างคราบฝุ่นบนใบหน้า

“ได้!” หลานรั่วถิงตอบรับพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

ไป๋เหยาเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง มองซางเฉาจงและซางซูชิงเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา จากนั้นหันหลังเดินออกไป เขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าทางสำนักต้องการทำอะไรกับคนเหล่านี้

หลานรั่วถิงส่งสายตาให้องครักษ์เล็กน้อย จากนั้นถอยกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูอีกครั้ง กลับไปหารือกับสองพี่น้องอีกเล็กน้อย จากนั้นต่างคนต่างใช้ผ้าขนหนูเปียกเช็ดหน้าเช็ดตาอย่างง่ายๆ แล้วเดินออกไปพร้อมกัน

ทั้งสามเพิ่งจะออกมาจากห้องพักของจุดพักม้า พวกเผิงโย่วไจ้ก็ตามหลังออกมา

ซางเฉาจงเดินเข้าไปหา ขวางหน้าเผิงโย่วไจ้ไว้

เผิงโย่วไจ้หยุดเดิน กลุ่มคนด้านหลังก็หยุดลงเช่นกัน ต่างมองซางเฉาจงที่ขวางหน้าอยู่ ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีศักดิ์เป็นยงผิงจวิ้นอ๋อง แต่ในแววตาของคนกลุ่มนี้กลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชา เสมือนว่าตนเป็นฝ่ายเหนือกว่า ซ่อนความดูแคลนเอาไว้ภายใน

เผิงโย่วไจ้ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยถามไปว่า “ท่านอ๋องมีเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางเฉาจงไม่ได้พูดอะไร เพียงหยิบจดหมายแนบฉบับนั้นออกมายื่นให้เขา

หัวคิ้วของเผิงโย่วไจ้เลิกขึ้นเล็กน้อย ไม่ทราบว่ามันคืออะไร เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับจดหมายมา หลังจากกวาดตามองพินิจซางเฉาจงขึ้นๆ ลงๆ อยู่ครู่หนึ่งถึงได้มองไปที่จดหมาย เนื้อความในจดหมายสั้นกระชับ กวาดตาอ่านทีเดียวก็จบ

หลังจากได้อ่านเนื้อความในจดหมาย โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นชื่อ ‘หนิวโหย่วเต้า’ สามคำที่แนบท้ายมา หัวคิ้วของเผิงโย่วไจ้พลันกระตุกขึ้นมาอย่างรุนแรงเล็กน้อย นามนี้ปรากฏขึ้นในสถานการณ์แบบนี้ นับว่าส่งผลต่อเผิงโย่วไจ้เป็นอย่างมาก สร้างแรงกดดันให้กับเขา

หนิวโหย่วเต้าที่หายตัวไปอย่างกะทันหันยังคงไม่ปรากฏตัวขึ้นมา ทว่ากลับมีชื่อปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนี้ ชื่อนี้กระทบต่อจิตใจของเขาที่ตึงเครียดเพราะคนผู้นี้มาโดยตลอด

เผิงโย่วไจ้เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย สบตากับซางเฉาจงแล้วเอ่ยถาม “ท่านอ๋องให้กระหม่อมดูสิ่งนี้ หมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางเฉาจงตอบว่า “ข้าเองก็เพิ่งได้เห็นเช่นกัน” นี่มิใช่คำเท็จ

เผิงโย่วไจ้มองคราบหมึกบนกระดาษอีกครั้ง มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ได้เพิ่งเขียนขึ้นใหม่ จึงเอ่ยถามไป “ได้มาจากไหนพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางเฉาจงตอบว่า “ไม่รู้ว่าจากไหน หลังจากพวกเราเข้าห้องไป ก็เห็นมันวางอยู่บนโต๊ะภายในห้องแล้ว”

เผิงโย่วไจ้พลันหันซ้ายหันขวา กวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ไม่เห็นมีผู้ใดที่น่าสงสัยเลย เขายื่นจดหมายให้เฉินถิงซิ่วที่อยู่ด้านข้างพลางส่งสายตาให้เฉินถิงซิ่ว

เฉินถิงซิ่วก้มหน้ามองเนื้อความในจดหมาย คิ้วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นยื่นจดหมายส่งต่อให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ส่วนตัวเขาหันหลังเร่งเดินออกไป

เผิงโย่วไจ้ดึงสายตากลับมาจากซางเฉาจง ไม่ได้พูดอะไร หากแต่หันหลังเดินกลับเข้าไปในจุดพักม้า คนทั้งกลุ่มติดตามไป

สำหรับเจ้าสำนักเผิงแล้ว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สองกรณี หากไม่ใช่พวกซางเฉาจงเขียนปลอมขึ้นมา ก็แปลว่าเป็นอย่างที่ซางเฉาจงพูดจริง เป็นจดหมายที่พบหลังจากเข้าไปในห้องจริงๆ

หากว่าเป็นกรณีหลังจริงๆ หากว่าเป็นจดหมายที่หนิวโหย่วเต้าส่งมาจริงๆ เช่นนั้นก็มีปัญหาใหญ่แล้ว

ภายใต้สถานการณ์ที่สำนักหยกสวรรค์ทำการป้องกันอย่างเข้มงวดเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้ากลับสามารถลักลอบนำจดหมายเข้ามาส่งภายใต้จมูกของพวกเขาได้ ทั้งยังนำไปส่งไว้ในห้องพักชั่วคราวที่พวกเขากำหนดให้ซางเฉาจงอีก เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? นี่คือปัญหาร้ายแรง!

ไม่นานนักศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์ก็เริ่มเคลื่อนไหว พวกซางเฉาจงที่ยืนอยู่ในลานกว้างของจุดพักม้าเห็นเจ้าหน้าที่ทั้งหมดของจุดพักม้าถูกควบคุมตัวเข้ามา

กลุ่มเจ้าหน้าที่ตัวสั่นงันงก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น

ซางเฉาจงสบตากับหลานรั่วถิง ทั้งสองรู้แก่ใจดี เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงต้องการตรวจสอบคนงานทั้งหมดในจุดพักม้า

ซึ่งนี่ก็คือแผนการที่หลานรั่วถิงเพิ่งคิดขึ้นมาได้ก่อนหน้านี้ ตั้งใจสร้างความกดดันให้สำนักหยกสวรรค์!

หลานรั่วถิงรู้ดีว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงไม่มีทางเชื่อ ทว่าสำนักหยกสวรรค์เคยได้รับบทเรียนจากฝีมือของหนิวโหย่วเต้ามาแล้ว อย่างเช่นกรณีที่รอดชีวิตกลับมาจากภัยอันตรายต่างๆ ในแคว้นฉี แล้วไหนจะเรื่องที่นำม้าศึกกลับมาเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้อีก…

ภายในห้อง เผิงโย่วไจ้ยืนยกมือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเฉยชา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

เหล่าผู้อาวุโสผลัดกันเวียนอ่านจดหมายฉบับนั้น ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ แต่เนื้อความในจดหมายก็ทำให้จิตใจของพวกเขาค่อนข้างหนักอึ้ง หากมณฑลจินโจวจะเข้าโจมตีมณฑลหนานโจวจริงๆ เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงต้องเผชิญกับหายนะ

หากเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมา พวกเขาคงปกครองมณฑลหนานโจวไว้ไม่ได้แล้ว หากควบคุมมณฑลหนานโจวไว้ไม่ได้ สำนักหยกสวรรค์ก็จะไม่มีค่าอะไรในสายตาของสามสำนักใหญ่ ราชสำนักแคว้นเยี่ยนจะต้องฉวยโอกาสบีบให้สามสำนักใหญ่กวาดล้างสำนักหยกสวรรค์แน่นอน ซึ่งผลลัพธ์นี้มิใช่ผลลัพธ์ที่สำนักหยกสวรรค์จะรับไหว!

“ศิษย์น้องเฟิง เจ้ามาดูจดหมายอีกที” เผิงโย่วไจ้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาทั้งที่หันหลังอยู่

จดหมายกลับไปอยู่ในมือของเฟิงเอินไท่อีกครั้ง เฟิงเอินไท่อึกอักอยู่พักหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เจ้าสำนัก ท่านคงไม่ได้สงสัยว่าจดหมายฉบับนี้เป็นฝีมือข้ากระมัง? ใช่ ข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานของหนิวโหย่วเต้า แต่ข้ายังไม่ถึงขั้นที่จะไปเข้าข้างคนนอกสำนัก…”

“เจ้าคิดมากไปแล้ว” เผิงโย่วไจ้หันกลับไปพลางเอ่ยขัดคำแก้ต่างของเขา พยักเพยิดหน้าไปทางจดหมายในมือเขา “เจ้าเป็นคนเช่นไรข้ารู้ดี เจ้ายังไม่ถึงขั้นจะทรยศต่อสำนักได้ ข้าให้เจ้าดูจดหมายอีกรอบ เพราะเจ้าคุ้นเคยกับหนิวโหย่วเต้า ให้เจ้าดูว่านี่ใช่ลายมือของหนิวโหย่วเต้าหรือไม่”

อย่างนี้นี่เอง! เฟิงเอินไท่เข้าใจแล้ว จิตใจที่ตึงเครียดสงบลง ยกจดหมายขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเพ่งพิศอย่างละเอียดอยู่สักพักก็เอ่ยด้วยความรู้สึกลังเลเล็กน้อยว่า “ข้าเคยเห็นลายมือของหนิวโหย่วเต้า ลายมือของเขามีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด นี่เหมือนจะเป็นลายมือของหนิวโหย่วเต้าจริงๆ แต่ข้าไม่อาจยืนยันได้ว่าใช่ของเลียนแบบหรือไม่”

เขาเองก็ทราบถึงความสำคัญของเรื่องราวเช่นกัน หากหนิวโหย่วเต้าสามารถผ่านการป้องกันของสำนักหยกสวรรค์เข้ามาแล้วเอาจดหมายมาให้พวกซางเฉาจงได้จริงๆ อย่างนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว

เผิงโย่วไจ้กวาดตามองทุกคน “พวกเจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า