ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 429

ตอนที่ 429 วังสวรรค์หมื่นวิมานมีแขกมาเยือน

ไป๋เหยาเดินออกไป ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องมองกันไปมองกันมา เผิงโย่วไจ้ออกเดินทางไปอย่างเร่งด่วน ส่วนทางนี้ต้องย้อนกลับไปที่เมืองซั่งผิง น่าจะมีสาเหตุอยู่เป็นแน่ ทั้งสามต่างรับรู้ได้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างผิดปกติ

ซางซูชิงลองถามหยั่งเชิง “หรือจดหมายฉบับนั้นของเต้าเหยี่ยจะได้ผล?”

ไม่รู้! ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงเองก็รู้สึกสับสนเช่นกัน ไม่อาจหาคำตอบได้

“เก็บของแล้วไปกันเถอะ!” ซางเฉาจงลังเลกับคำสั่งอยู่เล็กน้อย แต่สำนักหยกสวรรค์สั่งให้เขาไปที่ไหนเขาก็ต้องไปที่นั่น ไร้อิสระและไร้ทางเลือก

เมื่อเก็บของเสร็จ ทั้งกลุ่มก็เดินออกมาด้านนอกจุดพักม้า ศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์เองก็รีบมารวมตัวกัน

เฟิ่งรั่วหนานเองก็เดินออกมาเช่นกัน ซางเฉาจงไปที่ใดนางก็ต้องไปด้วย ทั้งขุ่นข้องในสำนักหยกสวรรค์ แล้วก็รู้สึกละอายใจจนไม่รู้ว่าสมควรจะเผชิญหน้ากับซางเฉาจงอย่างไร เข้ากับฝ่ายใดไม่ได้ทั้งนั้น ภายในใจรู้สึกขมขื่น จมอยู่ในความโดดเดี่ยว อยู่ในห้องเพียงลำพัง

นางมิใช่คนโง่ มาถึงตอนนี้แล้ว ไหนเลยจะยังไม่ทราบอีกว่าท่านตาและบิดามารดาของตนร่วมมือกันเล่นงานสามีตนอยู่ แล้วนางควรจะทำอย่างไร? จะให้นางแตกหักกับบิดามารดาของตนหรือ?

นางค่อยๆ เดินเข้าไปรวมตัวกับทางฝั่งซางเฉาจง หลานรั่วถิงประสานมือคารวะ ยังคงให้เกียรติอยู่ ส่วนซางเฉาจงเพียงเหลือบมองอย่างเย็นชาคราหนึ่ง ในแววตาคล้ายจะปรากฏแววตาดูแคลนที่ยากจะสังเกตเห็นเอาไว้

เฟิ่งรั่วหนานทรมานใจนัก กลับเป็นซางซูชิงที่เดินเข้ามา ยื่นสองมือมากุมมือนางไว้ เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “พี่สะใภ้”

“อื้อ!” เฟิ่งรั่วหนานฝืนยิ้มเล็กน้อย

หลังจากสังเกตดูเล็กน้อย พวกซางเฉาจงเองก็มองออกว่าสีหน้าของบรรดาผู้อาวุโสสำนักหยกสวรรค์ค่อนข้างตึงเครียด อีกทั้งผู้อาวุโสเหล่านั้นก็คอยเหลือบมองมาทางนี้เป็นระยะอย่างเห็นได้ชัด แววตาดูซับซ้อน

จุดนี้ยิ่งทำให้ทั้งสามมั่นใจมากกว่าเดิมว่าเกิดเหตุบางอย่างขึ้นแล้ว

สำนักหยกสวรรค์ปิดกั้นข่าวสารจากพวกเขา ทั้งสามจึงยังไม่ทราบว่าราชสำนักแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวแล้ว

ทุกคนมากันพร้อมหน้า จากนั้นเฉินถิงซิ่วก็ออกคำสั่งให้ทุกคนขึ้นหลังม้า ขบวนม้ากลุ่มใหญ่วิ่งห้อออกจากจุดพักม้า ควบม้าฝุ่นตลบไปตามเส้นทางหลวง ย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม

……

ช่วงกลางดึก แสงคบเพลิงบนกำแพงเมืองซั่งผิงลุกโชน ประตูเมืองเปิดชั่วคราว ขบวนม้ากลุ่มหนึ่งที่มีพวกซางเฉาจงรวมอยู่ด้วยควบม้าผ่านเข้าเมืองไป เกิดเสียงดังรบกวนความสงบในตัวเมืองที่อยู่ใต้ความมืดยามค่ำคืน ทำให้ตะเกียงในบ้านเรือนประชาชนจำนวนไม่น้อยถูกจุดสว่างขึ้นมา

ยังคงเป็นเรือนหลังเดิม พวกซางเฉาจงถูกส่งตัวกลับมายังเรือนที่เคยใช้กักบริเวณพวกเขาก่อนหน้านี้

เป็นค่ำคืนแห่งการขบคิด คนมากมายยากจะข่มตาหลับได้ พวกซางเฉาจงเองก็เช่นกัน กำลังวิเคราะห์หาข้อสรุปอยู่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ซางเฉาจงเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในสวนใต้แสงจันทร์เนื่องจากยากจะข่มตานอนได้ อาภรณ์เปียกชื้นขึ้นมาเล็กน้อย

เฟิ่งรั่วหนานออกมาจากในเรือน ถือเสื้อคลุมกันลมมาด้วย เดินเข้าไปหยุดข้างกายซางเฉาจง สะบัดคลี่ออกคลุมลงบนไหล่ของซางเฉาจง

ซางเฉาจงหันไปมอง กระชากเสื้อคลุมกันลมออกจากไหล่ โยนกลับไปในอ้อมแขนของเฟิ่งรั่วหนานอย่างไม่ไว้หน้า “มิบังอาจรบกวน รับไว้ไม่ได้หรอก!”

“เสด็จพี่!” ซางซูชิงรีบเดินเข้ามาถลึงตาใส่ซางเฉาจง น้ำเสียงแฝงเจตนาตำหนิ

เฟิ่งรั่วหนานกัดริมฝีปาก กอดเสื้อคลุมกันลมไว้แล้วหันหลังเดินออกไปเงียบๆ

หลานรั่วถิงที่อยู่ใต้ชายคามองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เขาไม่รู้ว่าควรจะว่าอย่างไรจริงๆ

“พี่สะใภ้เกี่ยวอะไรด้วย พี่สะใภ้จะไปจัดการอะไรได้?” ซางซูชิงกระซิบต่อว่าซางเฉาจงประโยคหนึ่ง

ซางเฉาจงกล่าวว่า “แล้วนางเคยช่วยพูดอะไรให้พวกเราหรือเปล่า? เราก็ไม่เคยคาดหวังว่านางจะช่วยอันใดได้ แต่ออกหน้าช่วยพูดสักประโยคก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือ? นางเห็นข้าเป็นสามีของนางบ้างหรือเปล่า? นางเห็นพวกเราเป็นครอบครัวของนางบ้างหรือเปล่า?”

ถึงจะรู้ว่าพี่ชายพูดไปด้วยโทสะ แต่เรื่องนี้ไม่อาจคุยกันให้กระจ่างได้ภายในไม่กี่ประโยค ซางซูชิงไม่โต้เถียงกับเขาอีก รีบเดินมุ่งหน้าไปทางห้องของเฟิ่งรั่วหนาน

เมื่อผลักประตูเข้าไป นางมองเห็นเฟิ่งรั่วหนานนั่งอยู่ข้างตะเกียง นั่งจ้องมองตะเกียงด้วยสีหน้าเลื่อนลอย หลั่งน้ำตาอย่างเงียบๆ

ซางซูชิงหันไปปิดประตูแล้วเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเฟิ่งรั่วหนาน ดึงมือเฟิ่งรั่วหนานมาจับไว้ เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พี่สะใภ้ อย่าร้องไห้เลยนะ เสด็จพี่พูดไปด้วยอารมณ์เท่านั้น ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจเลย ไม่มีอะไรหรอก เรื่องผ่านไปแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ว่าพลางช่วยเช็ดน้ำตาให้นางด้วยความสงสาร

เฟิ่งรั่วหนานพลันน้ำตาไพลพราก โผกอดซางซูชิงเอาไว้ ฝืนข่มกลั้นเสียงร้องและเสียงสะอื้น ความเจ็บปวดเศร้าหมองที่อัดแน่นอยู่ในใจกลายเป็นน้ำตาที่ไหลรินออกมา

“พี่สะใภ้ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรจริงๆ” ซางซูชิงกอดปลอบนาง หลั่งน้ำตาไปด้วยเช่นกัน

การที่อีกฝ่ายข่มกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกสงสารอีกฝ่ายอย่างมากจริงๆ พี่สะใภ้เคยร้องไห้เช่นนี้เสียเมื่อไร? นี่ยังใช่แม่ทัพหญิงผู้องอาจที่ต่อให้มีศัตรูนับหมื่นพันบุกโจมตีเข้ามาก็ยังไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วคนนั้นอยู่หรือเปล่า?

ฟ้าสว่างแล้ว องครักษ์นายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก รายงานซางเฉาจงที่อยู่ในสวนว่า “ท่านอ๋อง แม่ทัพเหมิงกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อยู่ที่ไหน?” ซางเฉาจงดีใจนัก จากนั้นก็ได้ยินเสียงล้อหมุนเอี๊ยดอ๊าดแว่วเข้าหู เขาหันกลับไปมองทันที เห็นหลัวอันเข็นเหมิงซานหมิงเข้ามาอย่างช้าๆ

ซางเฉาจงพุ่งเข้าไปหาทันที หลานรั่วถิงที่อยู่บนบันไดก็กระโดดพรวดพราดลงมา ทั้งสองวิ่งตามกันเข้าไป หยุดตรงหน้าเหมิงซานหมิง ต่างยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านลุงเหมิง!”

“แม่ทัพเหมิง ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ซางซูชิงได้ยินเสียงดังเอะอะจึงเปิดประตูออกมา จากนั้นยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น วิ่งพลางร้องเรียกอย่างดีอกดีใจ “ท่านลุงเหมิง!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า