ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 438

ตอนที่ 438 เต้าเหยี่ยมาแล้ว

แม้ว่าจะถูกทหารลาดตระเวนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงพบเห็น หยวนกังก็เอ่ยเพียงคำเดียวว่า “ไป!”

ทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปต่ออย่างรวดเร็วโดยไม่แยแสอะไรเลย

ทหารลาดตระเวนหลายกลุ่มบุกเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ในบ้านหลังนั้นทันที ผลคือพอไล่ตามไปก็พบเพียงเงาร่างคนปีนข้ามกำแพงไปแล้ว อีกฝ่ายปีนข้ามกำแพงไปอย่างรวดเร็วและเข้าขากันเป็นอย่างดี พอกลุ่มทหารพุ่งไปถึงมุมกำแพงก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

พอให้คนต่อตัวเหยียบไหล่ชะโงกหน้ามองสถานการณ์จากด้านบนกำแพง ไหนเลยจะมองเห็นเงาคนอีก

เหล่าทหารสลายการต่อตัว แจ้งเตือนภัยทันที ไม่นานทัพรักษาการณ์ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงก็ทราบเรื่อง!

….

ช่องโหว่บนผนังขยายใหญ่ขึ้น ฝุ่นผงปลิวว่อน โลหิตเจิ่งนอง

หนึ่งคนขวางทาง หมื่นคนอย่าได้หมายจะผ่านไป เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนพื้นถือทวนไว้ในมือ ไม่มีผู้ใดสามารถบุกเข้าไปได้ มีทหารหลายสิบคนที่สิ้นชีพลงด้วยคมทวนของเขา ตัวเหมิงซานหมิงเองก็นั่งอยู่ท่ามกลางโลหิตที่เจิ่งนอง

ซางซูชิงที่เฝ้าอยู่ตรงรูโหว่กัดฟันคอยประสานงานกับเขา คมกระบี่เปื้อนโลหิต นางซ่อนตัวอยู่ข้างผนัง สังหารทหารไปได้หลายคนเช่นกัน แต่เวลาที่เคลื่อนไหวสะบักไหล่ที่บาดเจ็บจะปวดร้าวอย่างรุนแรง นางได้แต่ต้องกัดฟันสกัดต้านต่อไป

แม้จะรู้ดีว่าคงต้านได้อีกไม่นาน แต่คนทางฝั่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดยินยอมก้มหัวให้ ล้วนยืนหยัดอยู่ด้วยความคิดที่ว่าสังหารศัตรูได้เท่าไรก็เท่านั้น

หน้าต่างที่ซางเฉาจงเฝ้าอยู่ถูกพังจนเปิดออกแล้ว โลหิตเปรอะเปื้อนไปทั่วร่าง ดาบง้าวในมือตวัดฟาดฟัน สังหารศัตรูทิ้งไปสิบกว่าคนแล้ว เฝ้าอยู่ตรงหน้าต่างไม่ยอมให้ใครผ่านเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว หลานรั่วถิงติดตามอยู่ด้านหลังเขา บัณฑิตคนหนึ่งกลับต้องมาเข่นฆ่าสังหารจนดวงตาแดงก่ำแล้ว พอสบโอกาสก็จะแทงทวนออกไปเพื่ออุดรูรั่วให้ซางเฉาจง

เฟิ่งรั่วอี้ที่อยู่กลางลานเรือนโมโหโกรธเกรี้ยว มีกันแค่ไม่กี่คน แต่กลับต้านการโจมตีจากทหารจำนวนมากของเขาได้

พอเห็นตรงโพรงแตกบนผนังมีประกายกระบี่เคลื่อนไหวคอยลอบสังหาร เฟิ่งรั่วอี้พลันกระโดดเข้าไป กระโจนเข้าไปที่โพรงแตกแล้วแทงทวนจู่โจม

เคร้ง! แขนซางซูชิงถูกกระแทกจนชาหนึบขึ้นมา กุมกระบี่ไว้ไม่อยู่จนกระบี่ลอยละลิ่วออกไป

เฟิ่งรั่วอี้เหวี่ยงทวนพาดออกไปในแนวขวาง คมทวนวาดไปที่ลำคอของซางซูชิงที่เอียงโซเซจนเผยตัวออกมา

เงาทวนเล่มหนึ่งพุ่งสวนเข้ามาขวางการโจมตีจากคมทวนไว้ คันทวนกระดอนเข้าใส่ไหล่ซางซูชิงเล็กน้อย ผลักตัวซางซูชิงให้พ้นไปจากปากโพรง ผลักไปอยู่ด้านหลังกำแพง ทำให้ซางซูชิงพ้นเคราะห์ไปได้

ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ เป็นเหมิงซานหมิงที่ลงมือช่วยชีวิตนางไว้

เฟิ่งรั่วอี้ที่อยู่นอกโพรงพลันควงทวนประหนึ่งกงจักรเพลิง หมุนเหวี่ยงไปทั่วทิศ ด้วยคิดจะสร้างโอกาสบุกเข้าไป

ทวนเล่มหนึ่งโผล่ออกมาดั่งมังกรลอดถ้ำ แทงสกัดต่อเนื่อง หยุดกระบวนท่าของเฟิ่งรั่วอี้เอาไว้อย่างมีชั้นเชิง

ปลายทวนตวัดฟันไปตามคันทวนของเฟิ่งรั่วอี้ จู่โจมมือของเฟิ่งรั่วอี้ข้างที่ถือทวนอยู่

เฟิ่งรั่วอี้ตวัดทวนย่างรวดเร็วเพื่อสะกดการโจมตีของอีกฝ่ายไว้ แต่ชั่วพริบตานั้นทวนของอีกฝ่ายกลับหดเข้าไปแล้วแทงออกมาอีกครั้ง แทงเข้าใส่หน้าอกเขาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

เฟิ่งรั่วอี้ตกใจมาก เขาเบี่ยงตัวกระโดดขึ้น ร่างกายหมุนควงอยู่กลางอากาศ หลบการโจมตีนี้ไปได้ คมทวนเฉียดไหล่ไป กรีดเกราะตรงไหล่ของเขาจนขาดออก

เฟิ่งรั่วอี้ที่กระโดดตีลังกากลางอากาศกลับมายืนอยู่ในลานเลือนด้านนอกห้องโถงอีกครั้งมองดูเกราะไหล่ที่ยังคงห้อยร่องแร่งอยู่ตรงหน้าอกเพราะด้ายไม่กี่เส้น เสื้อผ้าบริเวณไหล่ฉีกขาด โลหิตผุดซึมเป็นทาง ทว่ามิได้บาดเจ็บร้ายแรง แต่กระบวนท่าทวนที่ดุดันแม่นยำนั้นยังคงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่

เขาทราบดีว่าหากมิใช่เพราะเขาตอบสนองได้ทันท่วงที กระบวนท่าเมื่อครู่คงปลิดชีพเขาไปแล้ว

เขาไม่คิดเลยว่าตาเฒ่าพิการที่นั่งกองอยู่บนพื้นคนนี้จะยังสำแดงวิชาทวนอันเลิศล้ำเช่นนี้ออกมาได้ ไม่ได้อืดอาดยืดยาดเลยแม้แต่น้อย ใช้ทวนโจมตีเพื่อปลิดชีพ เป็นกระบวนท่าที่มุ่งสังหารในสนามรบอย่างแท้จริง ไม่มีลีลาน่ามองใดๆ ทั้งสิ้น

ตอนนี้เขาเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ไม่แปลกเลยที่พอมีตาเฒ่าคนนี้เฝ้าอยู่ด้านใน กลุ่มคนด้านนอกจึงไม่สามารถบุกเข้าไปได้

เขาหารู้ไม่ว่าตอนนี้เหมิงซานหมิงชราวัยแล้ว หากเป็นเหมิงซานหมิงในช่วงสมบูรณ์แข็งแรงดี เกรงว่าเขาอาจจะหลบไม่พ้นก็เป็นได้

เฟิ่งรั่วอี้เหลือบมองไปที่ปากโพรง พลันชี้นิ้วออกไป “ยิงธนู!”

พลธนูที่อยู่ด้านหลังดาหน้าเข้ามา น้าวสายขึ้นศร ห่าธนูโถมผ่านเข้าไปด้านในโพรงผนัง

เหมิงซานหมิงที่อยู่ด้านในเหวี่ยงทวนออกไปเกี่ยวศพร่างหนึ่งขึ้นมาบังด้านหน้า มองเห็นศพนั้นถูกปักทิ่มแทงจนดูราวกับเม่นไปในทันที

หลังจากยิงธนูออกไปห่าหนึ่งก็มีคนบุกเข้าไปด้านในอีก เหมิงซานหมิงชักทวนออกมาจากศพ คมทวนพุ่งออกมาอีกครั้ง มาหนึ่งสังหารหนึ่ง มาสองสังหารสอง ดวงตาภายใต้เส้นผมสีดอกเลาฉายแววเย็นชา แต่ก็ดูเศร้าหมองและอ้างว้างอย่างเห็นได้ชัด

ซางซูชิงกัดฟันหยิบกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง ช่วยสกัดประสาน

ครืน! เกิดเสียงดังมาจากโถงด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่กรูเข้ามา

ทุกคนในโถงด้านหน้าหวาดหวั่นใจ รู้ดีว่าด้านหลังถูกตีแตกแล้ว

“ถอย!” ซางเฉาจงหันกลับไปลากหลานรั่วถิงให้วิ่งไปหาเหมิงซานหมิงที่อยู่ทางนั้น คนที่พุ่งผ่านหน้าต่างเข้ามาฉวยโอกาสไล่ตามสังหารทันที ซางเฉาจงตวัดดาบฟันตอบโต้ไปหลายครั้ง

องครักษ์ทั้งสี่ในโถงด้านหลังตายหมดแล้ว องครักษ์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในโถงด้านหน้าก็มาสมทบกับพวกซางเฉาจงแล้ว

ทหารกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามา ไล่ต้อนพวกซางเฉาจงไปอยู่ตรงมุมกำแพง

ซางเฉาจงถือดาบขวางอยู่ด้านหน้า คอยป้องกันประสานอยู่คนละมุมกับเหมิงซานหมิง ต้านรับกลุ่มศัตรูด้วยกัน ซางซูชิง หลานรั่วถิงรวมถึงองครักษ์คนนั้นคอยช่วยต้านรับอยู่ด้านหลัง

เฟิ่งรั่วอี้มุ่งหน้าเข้ามาพลางตะโกนว่า “ถอยไป พลธนูประจำที่!”

กลุ่มทหารที่ปิดล้อมอยู่ถอยไปทันที พลธนูชุดหนึ่งเดินเข้ามา น้าวสายจ่อเล็งไปยังกลุ่มคนที่อยู่ในมุมผนัง

เหมิงซานหมิงตวัดทวนเกี่ยวโต๊ะหักพังตัวหนึ่งเข้ามา ตั้งขวางไว้ด้านหน้า ซางเฉาจงพลิกตัวหมุนกลิ้งไปลากโต๊ะยาวตัวหนึ่งมาแล้วตั้งโต๊ะยาวกำบังด้านหน้าไว้

ทั้งห้าคนหดตัวเข้าไปอยู่หลังโต๊ะ จากนั้นหน้าโต๊ะก็เต็มไปด้วยลูกธนูเนืองแน่น

พอเห็นพลธนูไม่อาจทำอะไรทางนี้ได้ ทหารกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามาอีกครั้ง ลากโต๊ะของทางนี้ออกไป เหมิงซานหมิงและซางเฉาจงร่วมมือกันต่อสู้สกัดกั้นอีกครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า