สรุปตอน ตอนที่ 440 พวกเจ้าหลีกไป! – จากเรื่อง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
ตอน ตอนที่ 440 พวกเจ้าหลีกไป! ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 440 พวกเจ้าหลีกไป!
ทันทีที่เผิงอวี้หลานจากไป ดวงตาของโซ่วเหนียนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมบนหลังคาค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นมา คล้ายจะตระหนักอันใดขึ้นมาได้ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
…..
ณ ประตูเมืองตะวันตก ไป๋เหยายืนหันหลังให้ตัวเมือง หันหน้าไปหาฟ้าครามนอกเมือง มีศิษย์ร่วมสำนักยืนอยู่สองฝั่งซ้ายขวา คอยเฝ้ากันอย่างเงียบๆ
ประตูเมืองทิศตะวันตกก็ถูกปิดแล้วเช่นกัน ถึงแม้ทางนี้จะคอยเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ จากนอกเมืองเลย
ไป๋เหยาค่อนข้างสงสัยในพฤติกรรมของเผิงอวี้หลาน แต่เมื่อนึกถึงป้ายคำสั่งในมืออีกฝ่าย เขาก็คิดว่าผู้อาวุโสเฟิงคงไม่มอบให้อีกฝ่ายส่งเดชแน่ ยิ่งไปกว่านั้นคือทางนั้นก็มีศิษย์ในสำนักเฝ้าอยู่ น่าจะไม่เกิดเหตุใดขึ้น
“ดูทางนั้นสิ ดูเหมือนจะเป็นจุดประจำการของพวกเราเลย”
เสียงอุทานด้วยความตกใจของศิษย์ร่วมสำนักแว่วมาจากด้านข้าง ไป๋เหยาค่อยๆ หันไปมอง ตอนยังไม่มองก็ยังใจเย็นอยู่ แต่พอเห็นแล้ว หัวคิ้วที่อยู่ใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกพลันกระตุกขึ้นมาอย่างรุนแรง ความสงสัยในใจคล้ายจะปะทุออกมา
“พวกเจ้าตามข้ามา คนที่เหลืออยู่เฝ้าต่อไป” ไป๋เหยาชี้นิ้วสั่งการเหล่าศิษย์ที่อยู่ทางซ้ายและขวา
ศิษย์ร่วมสำนักเอ่ยเตือน “ศิษย์พี่ ป้ายคำสั่งของผู้อาวุโสสั่งให้พวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ หากเคลื่อนไหวโดยพลการ จะมีโทษฐานเคลื่อนไหวโดยพลการนะขอรับ”
“หากเกิดปัญหาข้ารับผิดชอบเอง ไป!” ไป๋เหยาเอ่ยขึ้นมา เหินออกจากกำแพงเมืองไปก่อน ศิษย์อีกหลายคนทะยานตามหลังไป
…..
บนกำแพงเหนือประตูเมืองทิศเหนือ เฟิงเอินไท่ขมวดคิ้วมองทิศทางที่มีควันไฟลุกโขมงในตัวเมือง
เขาใคร่ครวญอยู่ในใจ คอยสังเกตอยู่เงียบๆ สักพัก สุดท้ายก็รู้สึกไม่สบายใจ สั่งให้คนอื่นๆ อยู่เฝ้าต่อไป หากเกิดเหตุผิดปกติอันใดให้ทางนี้แจ้งเตือนทันที ส่วนเขาพาศิษย์กลุ่มหนึ่งเดินทางกลับไปตรวจสอบอย่างรวดเร็ว
…..
เหนือประตูเมืองทิศใต้ เฟ่ยฉางหลิว เซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียวทั้งสามขึ้นมายังประตูเมืองแล้ว เฉินถิงซิ่วให้ทั้งสามเข้าพบเขาตามลำพัง ถามว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ ต้องการคำอธิบาย
เจ้าสำนักทั้งสามย่อมร่วมมือกันเป็นอย่างดี บอกเพียงว่ามาพบซางเฉาจง แต่หากทางนี้ไม่ให้พบ ทั้งสามคนก็ทำได้เพียงต้องปฏิบัติตาม ไม่ฝืนดึงดัน
“ผู้อาวุโส ในเมืองคล้ายจะเกิดเพลิงไหม้ขึ้นในจุดที่ไป๋เหยาประจำการอยู่ขอรับ”
ศิษย์คนหนึ่งเข้ามารายงาน เฉินถิงซิ่วทิ้งเจ้าสำนักทั้งสามทันที หันหลังเดินออกไปทางกำแพงที่หันเข้าหาตัวเมืองทอดสายตามองออกไปไกลๆ มองจากตำแหน่งแล้วเหมือนจะเป็นจุดที่ไป๋เหยาประจำการอยู่จริงๆ
แต่เขาก็ไม่ได้คิดอันใด มาก ทางนั้นมีกำลังพลอยู่เป็นจำนวนมาก มีไป๋เหยาคอยเฝ้าอยู่ ทั้งยังมีเฟิงเอินไท่นั่งแท่นบัญชาเหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์ด้วย น่าจะไม่เกิดเหตุร้ายใดขึ้น
เขาเพียงหันไปสั่งการว่า “ส่งศิษย์สองคนไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
….
เผิงอวี้หลานเหินทะยานข้ามหลังคาภายในเมือง ยามที่เข้าใกล้ตำแหน่งของเป้าหมายก็พบว่ามีทหารจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ตรงปากตรอกและท้ายตรอกของเป้าหมาย นี่ทำให้นางหนักใจยิ่งกว่าเดิม มองจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วหรือว่าจะยังไม่สำเร็จจริงๆ?
นางเหินร่อนลงบนหอสูงหลังหนึ่งในสวนที่มีทหารจำนวนมากชุมนุมกัน มองเห็นเพียงบุตรชายคนโตเฟิ่งรั่วอี้ที่กำลังสั่งการทหารที่บ้างก็ใช้ขวานจามทำลายเสาค้ำคานนอกห้องโถง บ้างก็โยนเชือกออกไปคล้องหลังคาพยายามดึงให้อาคารทรุดลงมา บ้างก็ใช้อาวุธหนักหรือของมีคมทำลายผนังกำแพงอยู่
สรุปคือจุดประสงค์ของอีกฝ่ายชัดเจน เผิงอวี้หลานมองออกว่าเป้าหมายของบุตรชายคือพังห้องโถงให้ถล่มลงมา
มีลูกธนูถูกยิงออกมาจากในห้องโถงเป็นระยะ ใต้ชายคาไม่เพียงแต่จะมีศพกองสุมเท่านั้น แต่ยังมีโลหิตไหลนองเป็นแอ่งด้วย ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด
ส่วนรอบโถงหลักก็มีการวางรถหน้าไม้ห้อมล้อมรอคำสั่งอยู่ ขอเพียงห้องโถงพังถล่มลงมา ก็จะยิงโจมตีปลิดชีพทันที
ในตรอกที่อยู่ห่างออกไปถึงขนาดที่กำลังขนย้ายเครื่องยิงหินเข้ามา จนใจที่ตรอกคับแคบ ขนส่งเครื่องมือใหญ่โตขนาดนั้นเข้ามาไม่ค่อยสะดวก
เผิงอวี้หลานร่อนลงไป ร่อนลงข้างกายบุตรชาย มองเห็นว่าเกราะหุ้มไหล่ของบุตรชายขาดห้อยร่องแร่ง ซ้ำยังมีรอยเลือดจากการบาดเจ็บด้วย นางถามเสียงเข้ม “อี้เอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น?”
พอเห็นมารดา อารมณ์ของเฟิ่งรั่วอี้ค่อนข้างปั่นป่วน “ท่านแม่ น้องรอง…น้องรองเขา…” เขาไม่รู้ว่าควรจะบอกอย่างไรดี
เผิงอวี้หลานสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมารางๆ แล้ว รีบกวาดตามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นบุตรชายคนรองก็ตวาดถามทันที “เจ้ารองละ?”
เฟิ่งรั่วอี้ก้มหน้า เป็นหนงฉางกว่างที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมาด้วยความเสียใจว่า “เสียใจด้วยขอรับฮูหยิน หยวนกังลูกน้องของหนิวโหย่วเต้าพากองกำลังกลุ่มเล็กๆ บุกเข้ามากะทันหัน แม่ทัพรองประมาท โชคร้ายพลาดท่าให้ไอ้คนถ่อยหยวนกังผู้นั้นขอรับ”
เจี๋ยเอ๋อร์ตายแล้วหรือ? เผิงอวี้หลานประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด สีหน้าซีดเผือด ลมหายใจถี่กระชั้น ค่อนข้างมึนงง
หนงฉางกว่างรีบเอ่ยว่า “ฮูหยิน ตอนนี้ยังมิใช่เวลามานั่งเสียใจกับความตายของบุตรธิดานะขอรับ ซางเฉาจงยังคงตอบโต้อยู่ในห้องโถง พวกเราจะชักช้าต่อไปไม่ได้แล้ว ฮูหยินมาได้จังหวะพอดี ได้จังหวะสำหรับชำระแค้นให้แม่ทัพรองพอดีขอรับฮูหยิน!” แทบจะเป็นการร้องตะโกนด้วยซ้ำ
เขารู้ดีว่าเผิงอวี้หลานก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง มาได้จังหวะพอดี เขาจึงเอ่ยกระตุ้นให้ลงมือ
เผิงอวี้หลานพลันได้สติกลับมา ใบหน้ายังคงฉายแววเศร้าหมองที่สูญเสียบุตรชายไป แต่มือชักกระบี่ออกมา เคลื่อนกายทะยานขึ้นไป โฉบไปยังชั้นสองของตัวเรือนก่อน หลบเลี่ยงลูกธนูที่ยิงออกมาจากด้านหน้า เท้าเตะยันตัวเรือนแล้วบิดตัวทะยานออกไป เสมือนเหินร่อนลงมาจากฟ้า พุ่งแหวกอากาศผ่านหลังคาห้องโถงลงไปยังด้านล่าง
พอเห็นเช่นนี้ หนงฉางกว่างกำสองมือเข้าหากันด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเปล่งประกาย ความวิตกร้อนรนก่อนหน้านี้สลายหายไปแล้ว
ภายในห้องโถง พวกซางเฉาจงมองเห็นสถานการณ์ด้านนอกผ่านประตูใหญ่ที่พังเสียหายไป เห็นว่าเผิงอวี้หลานมาแล้ว
“แย่แล้ว เกรงว่าเผิงอวี้หลานจะกลายเป็นสุนัขจนตรอกแล้ว ได้ยินว่าสภาวะของสตรีนางนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าไป๋เหยาเลย!” หลานรั่วถิงตะโกนบอกข่าวร้าย ในวาจาไม่มีความเคารพในฐานะแม่ยายของซางเฉาจงอีกต่อไป มาถึงตอนนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดแยแสเรื่องนี้อีกต่อไป
ขณะที่เพิ่งกล่าวจบ เขาก็เห็นเผิงอวี้หลานพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา มองเห็นความเคลื่อนไหวของเผิงอวี้หลานผ่านทางช่องหลังคาที่พังเสียหาย
เผิงอวี้หลานที่ตั้งท่าป้องการในช่วงจวนตัวก็ร่วงหล่นลงบนหลังคาที่หักพัง เซถอยไปหลายก้าวเช่นกัน
ทั้งสองเซถอยออกไปพร้อมกัน แล้วก็แทบจะหยุดลงในเวลาเดียวกัน
เผิงอวี้หลานถือกระบี่พาดขวาง มองดูหยวนกังที่ร่างกายเปรอะเปื้อนโลหิตไปหมดทั้งตัวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตะลึงสงสัย คนผู้นี้อาศัยเพียงกำลังอันป่าเถื่อนเข้าปะทะกับตน บนโลกนี้มีคนที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ?
นางถึงกับรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่าตนเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า แต่เมื่อครู่ตอนที่ได้รับแรงโจมตีจากอีกฝ่าย นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีร่องรอยของพลังปราณใดๆ แฝงปะปนมาด้วยเลย
หยวนกังแยกเท้าออกเล็กน้อย ย่อตัวตั้งท่านั่งม้าอยู่บนคานที่เฉเอียงเล็กน้อย ถือดาบพาดขวาง จ้องมองเผิงอวี้หลานด้วยแววตาเย็นชา ท่าทางนั้นดูคล้ายเสือดาวที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ได้ทุกเมื่อ
เฟิ่งรั่วอี้มองดูพลางกลืนน้ำลายที่แห้งผาก ไม่คิดเลยว่าหยวนกังจะต่อสู้กับมารดาตนอย่างสูสีได้ แล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ารองจะสิ้นชีพเพราะคนผู้นี้ในกระบวนท่าเดียว ยามนี้พอนึกถึงตอนที่ตนพุ่งเข้าไปโจมตีอีกฝ่ายขึ้นมา คิดๆ ไปก็เสียวสันหลังวาบ ความหวาดกลัวตกค้างอยู่ในใจ
เวลานี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตนโชคดีที่รอดชีวิตจากหยวนกังมาได้
คนที่อยู่ทั้งในและนอกห้องโถงต่างหยุดนิ่ง ล้วนเงยหน้ามองทั้งสองคนที่ประจันหน้ากันบนหลังคาด้วยความตกตะลึง
“หยุดมือ!” เสียงตวาดสายหนึ่งแว่วเข้ามา
หยวนกังและเผิงอวี้หลานที่อยู่บนหลังคาต่างหันไปมองเล็กน้อย มองเห็นไป๋เหยานำคนกลุ่มหนึ่งเหินทะยานเข้ามา
ชิ้ง! เผิงอวี้หลานฟันส่งปราณกระบี่สายหนึ่งโจมตีเข้าใส่หยวนกัง ขณะเดียวกันก็กระทืบเท้าคราหนึ่ง เกิดเสียงดังโครม ร่างนางพลันจมหายลงไปในห้องโถง
ไป๋เหยาพาคนมาแล้ว นางไม่สนใจจะต่อสู้กับหยวนกังอีกต่อไป ไม่สนใจล้างแค้นแทนบุตรชายอีก สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องชิงฆ่าซางเฉาจงให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นบุตรชายของตนจะต้องตายเปล่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ความหวังก็ยังมีอยู่ ขอเพียงสังหารซางเฉาจงได้ ขอเพียงตระกูลเฟิ่งได้กุมอำนาจปกครองมณฑลหนานโจว ก็ไม่ต้องกลัวว่าวันหน้าจะไม่มีโอกาสให้ล้างแค้น!
ทว่าหยวนกังเองก็เป็นคนที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ยังเป็นคนที่ต่อสู้ด้วยความสงบเยือกเย็น จึงไม่ถูกปราณกระบี่ของนางหลอกล่อ เขาพลันทิ้งตัว ใช้แขนข้างหนึ่งทุบเสาคานที่พังเสียหายให้หัก ร่วงหล่นลงไปด้านล่าง ปราณกระบี่สายนั้นเกือบจะเฉียดโดนร่างเขา
“ยิงธนู!”
ภายในห้องโถงยังมีคนอีกคนหนึ่งที่รับมือกับสถานการณ์อย่างเยือกเช่นเช่นกัน เหมิงซานหมิงที่เห็นสถานการณ์ผิดปกติพลันตะโกนขึ้นมา
พวกหยวนเฟิงที่ตั้งแนวป้องกันเป็นวงโค้งอยู่รอบพวกตัวซางเฉาจงพลันกระหน่ำยิงหน้าไม้ใส่เผิงอวี้หลานที่ร่วงลงมาจากหลังคาทันที
ท่ามกลางลูกศรที่พุ่งออกไป เผิงอวี้หลานที่ร่วงลงมากระตุ้นพลังสร้างเกราะปราณคุ้มกายขึ้น ลูกศรที่พุ่งเข้ามาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ หัวศรแหลมคมที่อยู่ห่างจากนางไปสามฉื่อยากจะขยับเข้าไปต่อได้
พริบตาที่นางสะบัดแขนปัดลูกศรตรงด้านหน้าให้กระจายออกไป หยวนกังที่ร่วงลงมาใช้เท้าถีบคานไม้เอียงโย้ท่อนหนึ่ง ดีดตัวขึ้นแล้วร่อนลงบนพื้น หยัดตัวลุกขึ้นยืนตรงหน้าซางเฉาจงอย่างมั่นคง ยกดาบพาดขวางอยู่ด้านหน้าอีกครั้ง
……………………………………………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า