ตอนที่ 461 สักวันข้าคงต้องตายเพราะพวกเจ้า – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า
ตอนนี้ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 461 สักวันข้าคงต้องตายเพราะพวกเจ้า จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 461 สักวันข้าคงต้องตายเพราะพวกเจ้า
พอกลุ่มหนึ่งไปก็มีอีกกลุ่มหนึ่งมา คนเหล่านี้เพิ่งไปได้ไม่นานก็มีศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์อีกสามคนเดินผ่านมา
ผู้มามิใช่ใครอื่น เป็นเฉาเซิ่งไหวและพี่น้องสกุลเหอ
ทั้งสามคนจ้องมองจุดที่มีต้นไม้หักโค่นระเนระนาดเพราะการต่อสู้ เหอโหย่วเจี้ยนเอ่ยถามกลุ่มหนิวโหย่วเต้า “เกิดอะไรขึ้น”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ “มีคนต้องการจับอสูรผีเสื้อแต่ถูกจับกินไป”
“มากับพวกเจ้าหรือ?”
“ไม่ใช่ พวกเราเพียงผ่านทางมาเห็นเท่านั้น”
“พวกเจ้ามาจากสำนักใด?”
“ไร้สังกัดสำนัก”
สามศิษย์พี่น้องสบตากัน เหอโหย่วเจี้ยนถามต่อว่า “มาเปิดหูเปิดตาเป็นครั้งแรกกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “ใช่แล้ว”
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยไปว่า “ที่นี่จะบอกว่าปลอดภัยมันก็ปลอดภัย แต่จะบอกว่าอันตรายมันก็อันตราย อย่าเที่ยวเดินไปไหนส่งเดช”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ขอบคุณที่แนะนำ”
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยอย่างดูมีน้ำใจว่า “ในเมื่อเพิ่งมาเป็นครั้งแรก เช่นนั้นก็ไปกับพวกเราเถอะ อย่างน้อยพวกเราก็คุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าพวกเจ้า”
หนิวโหย่วเต้าลังเล “มันจะดีเหรอ? จะทำให้พวกท่านเสียเวลาหรือเปล่า?”
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เดิมทีพวกเราก็เป็นหน่วยลาดตระเวนอยู่แล้ว ผู้มาเยือนคือแขก พวกเราไม่อาจปล่อยให้เกิดเหตุร้ายขึ้นต่อหน้าได้ ติดตามพวกเรามาจะปลอดภัยกว่า พวกเราสามารถแนะนำพวกเจ้าได้ว่าสถานที่แห่งไหนควรค่าพอให้ไปเยี่ยมชม”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอน้อมรับไว้” หนิวโหย่วเต้าประสานมือเอ่ยขอบคุณ
ในบทสนทนาระหว่างทั้งสองฝ่าย สุ้มเสียงของศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ฟังดูเย็นชา แฝงความทะนงถือตัวเยี่ยงสำนักใหญ่ไว้ ส่วนทางหนิวโหย่วเต้าก็สุภาพอ่อนน้อมมีมารยาท
ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่จึงติดตามพวกเขาสามคนไป
จำต้องยอมรับเลยว่าคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์คุ้นเคยกับที่นี่มากจริงๆ สถานที่หลายแห่งงดงามมหัศจรรย์ดั่งฝันดุจมายา สมกับที่เป็น ‘แดนแห่งความฝัน’ หากไม่คุ้นเคยกับสถานที่แล้วเดินสะเปะสะปะไปเรื่อย แบบนั้นไม่มีทางได้เห็นอย่างแน่นอน นี่ทำให้พวกหนิวโหย่วเต้าได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง
ครึ่งวันผ่านไป ทั้งคณะเดินๆ หยุดๆ ไปเรื่อยจนมาถึงหน้าผาสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง
คนหกคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ใต้นภาดาษดารา ทอดสายตามองออกไป พวกหนิวโหย่วเต้าที่มองออกไปไกลๆ ต่างมีสีหน้าอัศจรรย์ใจ
ด้านล่างหน้าผาคือผืนป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด แสงหลากสีส่องระยับงดงามตระการตา ราวกับหลุดเข้าไปในโลกอีกใบหนึ่งอย่างแท้จริง
ต้นไม้ที่พบเห็นระหว่างทางที่ผ่านมาดูหรอมแหรมบางตาไปเลยเมื่อเทียบกับผืนป่าใต้หน้าผาตรงเบื้องหน้านี้ เมื่อก้มมองออกไปไกลๆ ต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านนับไม่ถ้วนเรียงรายแผ่แสงสดใสมหัศจรรย์ ดูเก่าแก่และสุกสกาว ไม่ทราบว่ายืนต้นอยู่มานานเพียงใดแล้ว มีจุดแสงวิบวับที่ดูคล้ายคลึงกับ ‘หิ่งห้อย’ ล่องลอยอยู่ในป่าเป็นกลุ่มๆ เสมือนธารดาราไหลล่อง ฉากนี้ดูงดงามเจิดจรัสยิ่งกว่าหมู่ดาวบนฟากฟ้าเสียอีก
หยวนกังมาถึงเป็นคนสุดท้าย วิ่งตามหลังทุกคนมาถึงริมหน้าผา ยามนี้เมื่อทอดสายตามองออกไป เขาเองก็มีสีหน้าอัศจรรย์ใจเช่นกันไอรีนโนเวล
พวกเฉาเซิ่งไหวสบตากันอีกครั้ง ตลอดการเดินทางนี้พวกเขาตั้งใจหยั่งเชิงสภาวะของทั้งสี่คน ไม่คิดเลยว่าในกลุ่มสี่คนนี้จะมีมนุษย์ธรรมดาอยู่คนหนึ่ง แต่มนุษย์ธรรมดาคนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา เพราะสามารถวิ่งตามพวกเขาไปได้ตลอดทาง ทั้งยังดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลย น่าประหลาดนัก
“ไม่คิดเลยว่าในโลกนี้จะมีทิวทัศน์งดงามตระการตาถึงเพียงนี้ด้วย นับเป็นแดนแห่งความฝันอย่างแท้จริง” หนิวโหย่วเต้าทอดถอนใจ
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “เจ้ามองเห็นเพียงทิวทัศน์ในมุมกว้างเท่านั้น ภายในป่ายังมีทิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์อย่างอื่นอยู่อีก อยากลงไปดูหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้ามองหญ้าขับแสงใต้ฝ่าเท้า “หากลงไปอีกก็จะพ้นจากแนวป้องกันของหญ้าขับแสงแล้ว ออกจะอันตรายเกินไปกระมัง”
“เจ้าดูสิ!” เฉาเซิ่งไหวชี้มือออกไป มองเห็นวิหคยักษ์สองตัวโผออกมาจากป่า บรรทุกศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์หกคนบินออกมา บินโฉบผ่านบริเวณทางซ้ายของกลุ่มคนไป มองจากทิศทางคล้ายจะมุ่งหน้าไปยังทางเข้าออก ระดับความสูงในการบินต่ำมาก แทบจะเรี่ยขนานไปกับพื้นดินที่มืดมิด เห็นได้ชัดว่าระดับความสูงในการบินนั้นอยู่ในขอบเขตที่กลิ่นของหญ้าขับแสงครอบคลุมไปถึง ไม่กล้าบินสูงเกินไป
“ในป่าอันตราย แต่หากติดตามพวกเราไปไม่มีทางพบอันตราย ในป่าก็มีศิษย์ร่วมสำนักของพวกเรากำลังปลูกหญ้าขับแสงอยู่ ผู้มาคือแขก ในเมื่อตามพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว จะถือโอกาสพาพวกเจ้าไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้ชมทิวทัศน์งามตระการตาในป่าโบราณเช่นนี้หรอก” เฉาเซิ่งไหวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป้ยซยงคิดว่าอย่างไร?”
แซ่เป้ยที่เอ่ยถึงก็คือนามปลอมของหนิวโหย่วเต้า เขาอยากลองหยั่งเชิงดูว่าคนกลุ่มนี้รู้หรือไม่ว่าตนคือใคร ผลคือท่าทางเหมือนจะไม่รู้จักเลย
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ในเมื่อพี่หลี่มีน้ำใจย่อม ข้าย่อมไม่กล้าปฏิเสธ”
ทั้งสองฝ่ายร่วมทางกันมาคล้ายจะคุ้นเคยกัน เกิดเป็นมิตรภาพขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เฉาเซิ่งไหวเองก็ไม่ได้บอกชื่อจริงกับเขาเช่นกัน พยักหน้าเอ่ยไปว่า “ปลอดภัยไว้หน่อยจะดีกว่า ศิษย์น้องทั้งสอง พวกเจ้าไปสอดส่องลาดเลาก่อนดีกว่า ถ้าแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย พวกเราค่อยลงไป จะได้ไม่ทำให้แขกต้องตื่นตกใจ แบบนั้นมิใช่วิธีรับรองแขกของสำนักหมื่นสรรพสัตว์เรา”
สองพี่น้องสกุลเหอพยักหน้ารับ ทั้งสองทะยานออกจากหน้าผาไป อาศัยผาสูงร่อนถลาออกไปไกล สุดท้ายก็ร่อนเข้าสู่ส่วนลึกภายในป่าโบราณที่ดูน่าอัศจรรย์
รออยู่ครู่หนึ่ง เหอโหย่วเจี้ยนโผล่หน้าขึ้นมาจากเหนือยอดไม้ที่อยู่ไกลออกไป คล้ายกำลังส่งสัญญาณมือให้ทางนี้
จะอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงเลย ตนไม่เคยมีความแค้นใดๆ กับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ เหตุใดสำนักหมื่นสรรพสัตว์ถึงวางแผนเล่นงานเช่นนี้ นางร้องขึ้นมาทันที “หนีเร็ว!” ว่าแล้วก็คว้าแขนหยวนกังหมายจะพาเขาหนีไปก่อน
แต่หยวนกังที่กำลังมองท่าทีของหนิวโหย่วเต้าอยู่ออกแรงเกร็งแขนเล็กน้อย ขืนตัวเอาไว้ไม่คิดจะหลบหนี ก่วนฟางอี๋หันไปเอ่ยด้วยความโมโห “หากไม่หนีอีกจะไม่ทันแล้วนะ”
ผู้ใดจะรู้ว่าจู่ๆ หนิวโหย่วเต้าจะเอ่ยออกมา “ดูสิว่าพวกเขาจะมาหรือไม่มา ลงไป!”
ว่าแล้วก็ทำตามที่พูดจริงๆ เขาใช้พลังในร่างพุ่งตัวผ่านยอดไม้ลงไปเป็นคนแรก ร่อนลงสู่พื้นดิน
ก่วนฟางอี๋มึนงง อยากด่าว่าเขาบ้าไปแล้วเหรอ
“หากไม่อยากตายก็ตามข้ามา เจ้าหมี ลงไป!” หยวนกังเอ่ยทิ้งท้ายแล้วสลัดแขนออกจากการเกาะกุมของนาง กระโจนลงไปด้านล่าง
หยวนฟางก็ค่อนข้างมึนงงเช่นกัน นายท่านสองคนนี้เบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?
แต่เขาเชื่อฟังคำสั่งของหยวนกังเสมอมา จึงกัดฟันกระโดดตามลงไป
ก่วนฟางอี๋ลนลานเล็กน้อย แต่พอมองเห็นว่าทั้งสองคนมีท่าทีสงบเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง จึงร้องด่าออกมา “สักวันข้าคงต้องตายเพราะพวกเจ้า” จากนั้นก็กัดฟันกระโดดลงไป
พรึบ! อสูรปีกขาวที่กางปีกออกตัวนั้นพุ่งออกมา โถมเข้าหาหนิวโหย่วเต้าที่ร่อนถึงพื้นเป็นคนแรก
เกิดเสียงดังชิ้ง! แสงกระบี่สายหนึ่งส่องวาบแล้วเลือนหายไปในชั่วพริบตา กลับเข้าฝักตามเดิม
หนิวโหย่วเต้าฟันอสูรปีกขาวที่โจมตีเข้ามาในเวลาเดียวกับที่ลงสู่พื้น อสูรปีกขาวถูกฟันคอขาดไปครึ่งหนึ่ง ของเหลวสีเขียวไหลทะลักออกมาจากปากแผล ทว่ายังคงกางแขนกางขาโถมเข้าหาหนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าที่ต่อให้เผชิญหน้ากับผีดิบในสุสานก็ยังไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ย่อมไม่ตกใจกับสถานการณ์นี้
เขายกกระบี่ขึ้นตั้งในแนวขวาง แขนทั้งของข้างอสูรปีกขาวหนีบเข้าที่ปลายกระบี่สองด้าน ไม่อาจเข้าโอบรัดเขาได้
หนิวโหย่วเต้าปล่อยมือจากกระบี่ ยืนมือไปเชยคางของอสูรปีกขาวเล็กน้อย คล้ายกำลังค่อยๆ พินิจชื่นชมใบหน้าของอสูรปีกขาวอยู่
เกิดเสียงดังแคว่กแว่วขึ้นมา เขาตวัดแขนออก กระชากคอที่ขาดไปครึ่งหนึ่งของอสูรปีกขาวให้ขาดออกอย่างสมบูรณ์ ในเวลาเดียวกับที่กระชากมันล้มลงไปบนพื้น เขาก็ฉวยโอกาสดึงกระบี่กลับมา ค่อยๆ ตั้งกระบี่ยันพื้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย กวาดตามองไปรอบข้างด้วยแววตาสุขุม
ความสงบเยือกเย็นของเขาทำให้คนรู้สึกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า แต่แท้จริงแล้วรวดเร็วนัก ขณะที่เขาจัดการอสูรไปแล้วหนึ่งตัว หยวนกังเพิ่งจะร่อนลงมาถึงข้างกายเขา จากนั้นหยวนฟางและก่วนฟางอี๋ที่ร่อนตามลงมาก็รีบเข้ามาอยู่ข้างกายเขาเช่นกัน
……………………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า