ตอนที่ 492 ใช้ไพ่ในมือไปหมดแล้ว
พูดคุยยิ้มแย้มกันไปจนมาถึงศาลาบนเนินเขาลูกหนึ่งที่อยู่กลางขุนเขา
มีศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกมาจากศาลาแล้วคารวะ โฉวซานส่งมอบคณะของหนิวโหย่วเต้าให้ศิษย์ทางนี้พาแขกไปส่งยังเรือนรับรองที่จัดเตรียมไว้ เอ่ยกำชับทำนองว่าต้องรับรองให้ดีอยู่หลายครั้ง จากนั้นถึงได้อ้างว่ามีธุระแล้วขอตัวลาไป
สถานที่แห่งนี้เป็นตัวกำหนดสถานะของแขกผู้ว่าเยือนว่ามีเกียรติมากพอหรือไม่
หากเป็นแขกสำคัญจริงๆ โฉวซานจะพาไปส่งยังที่หมายด้วยตัวเอง หากกลับกันก็จะมอบหมายให้ศิษย์ที่รับผิดชอบดูแลแขกทางนี้เป็นคนมาให้การรับรอง
แต่ก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ อาณาเขตที่ตั้งของสำนักหมื่นสรรพสัตว์กว้างใหญ่ไม่น้อย ระยะทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งมิใช่สั้นๆ เลย หากว่าแขกทุกคนล้วนต้องมีผู้อาวุโสคอยเดินเล่นเป็นเพื่อน อีกทั้งยังเป็นในช่วงเวลาเช่นนี้อีก เกรงว่าถึงส่งผู้อาวุโสทั้งหมดในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกมาก็ยังไม่เพียงพอ
สำหรับเรื่องนี้ หนิวโหย่วเต้ารู้แจ้งแก่ใจดี แต่ก็ไม่ได้ถือสาเช่นกัน ตนยังไม่มีคุณสมบัติถึงขั้นนั้น อีกฝ่ายนับว่าไว้หน้ามากพอแล้ว
นับตั้งแต่ตรงนี้ไปก็มีศิษย์คนหนึ่งเดินทางไปเป็นเพื่อนพวกหนิวโหย่วเต้าต่อ หากพวกเขาอยากจะเดินชมไปช้าๆ ก็จะเดินเป็นเพื่อน หากไม่อยากเดินชมแล้ว อยากจะไปถึงที่หมายโดยเร็วก็ไม่มีปัญหา
เดินชมกันอยู่สักพักหนึ่ง เห็นอาคารสิ่งปลูกสร้างทอดเรียงกันอยู่ไกลออกไป จึงทราบว่าอ้อมเลี่ยงส่วนใจกลางหลักของสำนักหมื่นสรรพสัตว์มาแล้ว ขุนเขาสายธารรอบข้างก็ไม่มีอันใดน่ามองแล้ว พวกหนิวโหย่วเต้าจึงไม่สนใจจะเดินกันต่ออีก ให้ศิษย์ของสำนักนำทางพวกเขาทะยานมุ่งไปยังเรือนรับรองที่จัดไว้
เรือนรับรองไม่ใหญ่นัก เป็นเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่บนไหล่เขา มีธารน้ำตกสายหนึ่งอยู่ห่างออกไป ลำธารหลายสายไหลคดเคี้ยวทอดผ่านด้านล่างตีนเขา มีเรือนที่ลักษณะคล้ายคลึงกันอยู่บนภูเขาสองข้างด้วย
พอเข้าไปชมภายในเรือน กลับพบว่าการตกแต่งจัดวางดูงดงาม บรรยากาศเงียบสงบทีเดียว
ถึงแม้เรือนจะเล็กแต่สะดวกครบครัน ห้องโถงหลักก็มี ห้องพักก็เพียงพอให้ทั้งกลุ่มเข้าพำนัก
ทั้งคณะเดินวนรอบหนึ่ง ยังไม่ทันได้นั่งลงก็มีศิษย์คนหนึ่งนามว่าโจวเถี่ยจื่อยกน้ำชาเข้ามาให้
ศิษย์ที่พาพวกหนิวโหย่วเต้ามาส่งคนนั้นแนะนำโจวเถี่ยจื่อต่อพวกหนิวโหย่วเต้าอย่างเป็นทางการ แจ้งว่าโจวเถี่ยจื่อจะรับผิดชอบดูแลรับรองตลอดระยะเวลาที่พักอาศัยอยู่ มีธุระใดก็เรียกใช้ให้โจวเถี่ยจื่อไปจัดการได้เลย
หลังจากศิษย์คนนั้นจากไป โจวเถี่ยจื่อก็เอ่ยสอบถามพวกหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อยว่าแต่ละคนอยากไปดูห้องพักของตนก่อนหรือไม่?
หนิวโหย่วเต้าอนุญาต ทั้งคณะจึงตามโจวเถี่ยจื่อไปชมดูห้องพักรอบหนึ่ง จัดการกำหนดห้องพักของแต่คนให้เรียบร้อย แน่นอนว่าห้องพักหลักย่อมต้องตกเป็นของหนิวโหย่วเต้า
พอถึงช่วงเย็นก็มีคนนำอาหารมาส่งให้ หลังจากโจวเถี่ยจื่อรับมาก็นำไปจัดขึ้นโต๊ะในห้องโถงหลักอย่างครบครัน เมื่อสอบถามแล้วไม่พบว่ามีเรื่องอื่นใดจะสั่งการอีก เขาจึงถอยออกไป
อาหารที่จัดวางไว้เต็มโต๊ะอุดมสมบูรณ์นัก แต่คนที่ร่วมแบ่งปันมีมากเกินไป อิ๋นเอ๋อร์กินอย่างไม่ใคร่พอใจนัก นางกินจุมาก จึงกินอย่างไม่มีความสุขเท่าไร
หลังกินอาหารเสร็จ แต่ละคนบ้างก็อยู่ในเรือน บ้างก็ออกไปชมแสงตะวันรอนนอกเรือน
หลังจากม่านรัตติกาลเข้าครอบงำ โจวเถี่ยจื่อก็กลับมาเก็บกวาดจานชาม จากนั้นก็สอบถามว่ามีคำสั่งอื่นใดอีกหรือไม่ พอทราบว่าไม่มี เขาก็ถอยออกไป
และในจังหวะนี้เอง มีคนฉวยโอกาสจากความมืด ‘บังเอิญ’ เดินผ่านมายังสถานที่แห่งนี้พอดี บังเอิญพบหนิวโหย่วเต้าที่ยืนเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้ริมขอบเขาพอดี
หนิวโหย่วเต้าหันไปมองเล็กน้อย อดยิ้มไม่ได้ บังเอิญเสียจริง เป็นคนรู้จักนี่เอง เป็นคนรู้จักที่คิดจะไปหาอยู่พอดี เป็นเฉาเซิ่งไหว!
เฉาเซิ่งไหวกลับยิ้มไม่ออก เขาก็ได้ยินข่าวว่ามีคนชื่อหนิวโหย่วเต้ามาเยือน จึงตั้งใจหาโอกาสมาสอดส่องดู ตอนนี้ยืนยันได้แล้วว่าแล้วเป็นหนิวโหย่วเต้าที่ตนรู้จักจริงๆ คนนั้น
แม้ว่าจะมีความมืดช่วยอำพราง แต่เฉาเซิ่งไหวก็ยังเฝ้าสังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวังอยู่ แสร้งทำเป็นเดินผ่านแล้วถือโอกาสประสานมือทักทายแขกอย่างมีมารยาท ทว่าปากกลับเอ่ยไปถึงเรื่องอื่น กดเสียงให้ต่ำลงเอ่ยไปว่า “เจ้ามาทำไม?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ย่อมเป็นเพราะกลัวเฉาซยงจะไม่เชื่อในฐานะข้า จึงมาเพื่อให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ตรวจสอบโดยเฉพาะ เฉาซยงจะได้วางใจด้วย”
เฉาเซิ่งไหวกลับไม่คิดว่าเป็นเช่นนี้ “เจ้ารีบร้อนอันใด อย่างน้อยข้าก็ต้องสืบดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน ไม่อาจผลีผลามลงมือได้ เจ้าห้ามก่อเรื่องวุ่นวายเด็ดขาด ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ให้เวลาข้าหน่อย”
เขาเข้าใจผิดว่าหนิวโหย่วเต้าถ่อมาเพราะคิดจะแทรกแซงเรื่องนั้น ดังนั้นพอได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้ามา เขาจึงสะกดความโมโหไว้ไม่ค่อยอยู่
พอเห็นว่าคนผู้นี้กระวนกระวายขึ้นมา หนิวโหย่วเต้าจึงไม่หยอกเย้าเขาอีก “ครั้งนี้มาเพราะต้องการให้เฉาซยงช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง”
“ยังมีเรื่องใดอีก?” เฉาเซิ่งไหวค่อนข้างร้อนใจแล้ว “เจ้าคิดว่าข้ามีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรในสำนักหมื่นสรรพสัตว์หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อย่าเข้าใจผิดไป เป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ ช่วยข้าสืบข่าวของสองสามสำนักมาที ดูว่าได้มาที่นี่หรือเปล่า”
เฉาเซิ่งไหวผงะไปเล็กน้อย เห็นทีว่าจะเข้าใจผิดไปแล้วจริงๆ เรื่องสืบข่าวนี้ ด้วยภูมิหลังของเขาในสำนักหมื่นสรรพสัตว์นับว่าเป็นเรื่องเล็กจริงๆ เขาโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าไม่สะดวกจะรั้งอยู่นาน มีสำนักใดบ้าง?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “วังเหินเวหา วิมานม่วงทองและหุบเขากระบี่วิญญาณแห่งแคว้นเยี่ยน สำนักร้อยชลา วังเลิศหล้า สำนักเทพนารีแห่งแคว้นหาน”
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยด้วยความสงสัย “สามสำนักหลักแห่งแคว้นเยี่ยนกับสามสำนักหลักแห่งแคว้นหานอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
“เจ้าสืบเขาพวกเขาไปเพื่ออะไร?”
“วางใจเถอะ ไม่กระทบต้องเรื่องของเจ้าแน่นอน แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า