ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 505

ตอนที่ 505 สีดำ

แต่ปัญหาคือเขาได้ทำเรื่องใหญ่ที่อันตรายกว่านี้ไปแล้ว เขาไม่เหลือช่องให้เจรจาต่อรองอีก ไม่จำเป็นต้องมาแตกหักกับหนิวโหย่วเต้าเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้

คิดจะวางแผนเล่นงานอีกฝ่าย แต่กลับถูกอีกฝ่ายกุมจุดอ่อนไว้แทน บนโลกนี้ไม่มียาช่วยรักษาโรคเสียใจภายหลัง สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือพยายามจัดการงานนั้นให้ลุล่วงโดยเร็ว จะได้ควบคุมจุดอ่อนหนิวโหย่วเต้าไว้ในมือเช่นกัน ทำให้คนผู้นี้ไม่กล้าเรียกใช้งานตนเหมือนสุนัขรับใช้อีก

ด้วยเหตุนี้เฉาเซิ่งไหวจึงยังคงไปพบเฉินถิงซิ่ว ‘โดยบังเอิญ’

ใต้ต้นสนเก่าแก่นอกเรือนรับรอง บนโต๊ะศิลาตัวหนึ่ง เฉินถิงซิ่วนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้น ทอดมองขุนเขาสายธารหรือไม่ก็ผู้คนในสถานที่แห่งนี้

ตอนนี้เขาทำได้เพียงเฝ้ารออยู่ที่นี่ รอข่าวจากศิษย์ที่ส่งออกไปสืบหาภายในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แล้วก็กำลังรอให้ซีไห่ถังเรียกเข้าพบ เป็นตัวแทนสำนักหยกสวรรค์เข้าเยี่ยมเยือนเล็กน้อย

เขาพอจะตระหนักถึงบางอย่างได้ ในสายตาของสำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว สำนักหยกสวรรค์ยังด้อยกำลังนัก มิเช่นนั้นต่อให้ซีไห่ถังงานยุ่งเพียงใดก็คงไม่ยุ่งจนถึงขั้นนี้ อย่างน้อยจัดผู้อาวุโสประจำสำนักหยกสวรรค์อย่างเขาไว้ในลำดับท้ายๆ ก็มิใช่เรื่องเสียหายอะไร ไอรีนโนเวล

ทางเดินโรยหินลาดชันลดเลี้ยวไปตามซอกเขา เฉาเซิ่งไหวเดินเอ้อระเหยเข้ามา เดินผ่านนอกเรือนเล็กไป

เฉินถิงซิ่วหันมองเขา ผลคือสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงแค่กวาดสายตามองเขาอย่างเย่อหยิ่งเล็กน้อย ไม่ได้สนใจอะไรเขา ถูกอีกฝ่ายเมินไป

ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่รับผิดชอบดูแลแขกอยู่ทางนี้คารวะเฉาเซิ่งไหวที่เดินผ่านมาอย่างอ่อนน้อม “ศิษย์พี่เฉา ท่านมาได้อย่างไรขอรับ หรือว่ามีธุระจะสั่งการ?”

“เดินเรื่อยเปื่อยเท่านั้น” เฉาเซิ่งไหวตอบส่งๆ ไป จากนั้นพยักพเยิดไปทางเรือนรับรอง “ที่นี่มีแขกหรือ?”

ศิษย์คนนั้นมองเฉินถิงซิ่วที่อยู่ใต้ต้นไม้เล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “เป็นแขกจากสำนักหยกสวรรค์แห่งหนานโจวในแคว้นเยี่ยนขอรับ”

เฉาเซิ่งไหวร้องโอ้คำหนึ่ง คล้ายจะไม่สนใจอะไร เตรียมจะเดินผ่านไป

กลับเป็นฝ่ายเฉินถิงซิ่วที่ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเอง ยิ้มแล้วทักทาย “ไม่ทราบว่าท่านเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใดหรือ?”

จากท่าทางของศิษย์คนนั้น ทำให้เขามองออกว่าฐานะของเฉาเซิ่งไหวน่าจะไม่ธรรมดา

เฉาเซิ่งไหวหยุดฝีเท้า หันมองเขาหัวจรดเท้า “ท่านเป็นใคร?”

ศิษย์คนนั้นเหงื่อตกเล็กน้อย ปฏิบัติต่อแขกเช่นนี้ออกจะเสียมารยาทเกินไปหน่อยกระมัง

เฉินถิงซิ่วกลับไม่ถือสา เขาสามารถดูแคลนสถานะผู้บำเพ็ญเพียรและอำนาจของหนิวโหย่วเต้าได้ แต่ไม่สามารถดูแคลนคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ได้ ยิ่งมีท่าทางหยิ่งผยองเท่าไรก็แปลว่ายิ่งมีภูมิหลังสูงส่ง เขาขยับเข้าหา ประสานมือเอ่ยว่า “เฉินถิงซิ่วผู้อาวุโสแห่งสำนักหยกสวรรค์มณฑลหนานโจวแห่งแคว้นเยี่ยน”

“โอ้ ยินดีที่ได้พบ” เฉาเซิ่งไหวประสานมือทักทายกลับอย่างคล้ายจะไม่เต็มใจ

หลังจากพูดจาตามมารยาทกันไปมา สุดท้ายทั้งสองก็มานั่งดื่มชาด้วยกันที่ใต้ต้นสน

หลังจากได้ทราบว่าปู่ของเฉาเซิ่งไหวคือผู้อาวุโสเฉาจิ้งแห่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ท่าทีของเฉินถิงซิ่วย่อมเป็นมิตรขึ้นมากกว่าเดิม ฝ่ายเฉาเซิ่งไหวก็คล้ายจะดื่มด่ำไปกับคำเยินยอของเขา พอได้ฟังคำเยินยอมากเข้าก็เหมือนจะคุมปากตนไม่อยู่ พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา…

….

ภายในศาลา หนิวโหย่วเต้านั่งอยู่หน้าโต๊ะศิลา ใช้ผ้าขนหนูผืนหนึ่งเช็ดตัวกระบี่ที่ส่องประกายแวววาว เช็ดถูอย่างพิถีพิถัน ราวกับอยากจะเช็ดจนไม่มีฝุ่นเกาะเลยแม้แต่ธุลีเดียว

หยวนกังมองอยู่ด้านข้างพักหนึ่งถึงเอ่ยถาม “เรื่องที่ขัดต่อกฎของสำนักเช่นนี้ โจวเถี่ยจื่อจะยอมทำตามที่รับปากคุณไว้เหรอ?”

เขาหมายถึงเรื่องที่ทางนี้สั่งให้โจวเถี่ยจื่อไปจับตามองทางเรือนรับรองของสำนักชะตาสวรรค์ แน่นอนว่าตามคำพูดของหนิวโหย่วเต้าคืออยากให้โจวเถี่ยจื่อช่วยทำธุระให้เล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้าใช้สมาธิกับการเช็ดถูกกระบี่ในมือ “จะทำหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ทางเฉาเซิ่งไหวส่งข่าวมาแล้ว ฉันแค่อยากรู้ว่าเขามีค่าพอจะให้ช่วยเหลือหรือไม่ สำนักหมื่นสรรพสัตว์แห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ดีเด่อะไร ที่ใดมีคนที่นั่นมีการแก่งแย่ง หากมิใช่คนที่อยากแก่งแย่งไยจะต้องเข้าสู่สถานที่แก่งแย่งชิงดีเช่นนี้ด้วย แบบนั้นช่วยเหลือเขาไปกลับจะเป็นการทำร้ายเขาเปล่าๆ ไม่สู้ปล่อยให้เก็บตัวทำงานจิปาถะอย่างสงบต่อไปดีกว่า ให้เขาได้เลือกด้วยตัวเองแล้วกัน!” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หยวนกังเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเห็นลุงเฉินเดินออกมาจากเรือนด้านหลัง จากนั้นเข้ามาในศาลา ก่อนจะเอ่ยถาม “เรียกหาข้าด้วยเรื่องใด?”

หนิวโหย่วเต้าสอดกระบี่กลับเข้าฝัก วางฝักกระบี่ยันพื้น เลื่อนมือขึ้นมากุมด้ามกระบี่ มองไปทางเรือนด้านหลัง ถามออกไปว่า “ยังไม่ออกมาจากห้องอีกหรือ?”

ลุงเฉินตอบว่า “เคาะประตูดูแล้ว ตอบว่าจะนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้อง”

“ขยันบำเพ็ญเพียรขึ้นมาเสียอย่างนั้น” หนิวโหย่วเต้ายิ้ม ผายมือเชื้อเชิญอีกฝ่าย “เชิญนั่ง!” จากนั้นก็โบกมือให้หยวนกัง “ยกชามา !”

หยวนกังหันหลังไปจัดเตรียมรินชา

ลุงเฉินมองกระดานหมากที่วางอยู่บนโต๊ะ ค่อยๆ นั่งลงพลางเอ่ยถาม “คงไม่ได้เรียกข้ามาเพื่อเดินหมากกับท่านกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปแยกชามหมากออกจากกัน มองตัวเบี้ยขาวดำที่อยู่ในชามทั้งสองใบ ตั้งใจหมุนชามสลับทิศทาง ดันชามหมากสีขาวออกไป ส่วนตนก็เก็บชามหมากสีดำไว้ หยิบหมากสีดำเม็ดหนึ่งขึ้นมา ‘แปะ’ เสียงวางหมากดังชัด จากนั้นผายมือสื่อให้อีกฝ่ายวางหมาก

ลุงเฉินไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่รู้ดีว่าไม่ใช่แค่ให้เดินหมากธรรมดา จะต้องมีเรื่องใดอยู่แน่นอน ในเมื่อถามแล้วไม่ตอบ อย่างนั้นก็ทำได้เพียงรอดูต่อไป เขาวางหมากสีขาวลงบนกระดาน ตอบโต้กลับไป

หลังจากวางหมากไปครู่หนึ่ง หยวนกังก็ยกน้ำชาเข้ามา รินใส่ถ้วยชาสองใบ

หนิวโหย่วเต้าวางหมากสีดำเม็ดหนึ่งลงไป เอ่ยขึ้นว่า “ถ้วยชาสองใบนี้ ใบหนึ่งมีพิษ ใบหนึ่งไม่มีพิษ ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นใบไหนที่มีพิษ ซึ่งพิษนี้ไม่มียาถอน”

หยวนกังเหลือบมองเขาเล็กน้อย เขาเป็นคนรินชาเองกับมือ มีพิษหรือไม่เขาจะไม่รู้เชียวหรือ? ไม่มีพิษเลย!

แววตาของลุงเฉินที่คีบหมากขาวอยู่วูบไหว ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายมีเจตนาเช่นไร

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสริมไปว่า “พวกเราดื่มกันคนละถ้วย ให้เจ้าเลือกก่อน เลือกใบไหนก็ต้องดื่มใบนั้น ใบที่เหลือจากเจ้า ข้าจะดื่มเอง ยุติธรรมสมเหตุสมผล”

ม่านตาลุงเฉินหดตัวลง “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หมายความว่าอย่างไร หลังจากดื่มชานี้เข้าไปแล้วข้าย่อมจะบอกเอง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า