ตอนที่ 545 ตอนนี้ข้าอยากจะรับขึ้นมาแล้ว
ณ สวนไม้เลื้อย ปีกทองบินเข้าออกอย่างต่อเนื่อง
ภายในศาลา ณ ป่าไผ่ บางครั้งอวี้ชางเดินวนไปวนมา บางครั้งก็นั่งเงียบ เฝ้ารอมาทั้งคืนแล้ว รอคอยข่าวจากช่องทางต่างๆ มาตลอด
ตู๋กูจิ้งหิ้วกล่องใบหนึ่งทะยานลัดป่าไผ่เข้ามา ร่อนลงด้านนอกศาลา รีบเดินเข้าไป “อาจารย์ขอรับ!”
อวี้ชางมองกล่องไม้ในมือเขา มองเขาวางกล่องลงด้านหน้าแล้วเปิดออก เผยให้เห็นศีรษะหัวหนึ่ง เขาเหลือบมองลูกศิษย์เล็กน้อย ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่
ตู๋กูจิ้งมีสีหน้าเคร่งเครียด หิ้วศีรษะออกมาเผยให้เห็นใบหน้า
ม่านตาอวี้ชางหดตัว เอ่ยเสียงหลง “วั่งอวี่!”
นี่คือศีรษะของมือสังหารที่หนิวโหย่วเต้าปลิดชีพ คนในหอจันทร์กระจ่างเรียกขานว่าวั่งอวี่ ไม่มีผู้ใดทราบนามที่แท้จริง
ตู๋กูจิ้งใส่ศีรษะกลับเข้าไป จากนั้นล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ “เมื่อครู่มีชายชราคนหนึ่งจากด้านนอกบอกว่ามีคนฝากเขานำมาส่งให้ขอรับ”
อวี้ชางรับจดหมายไป แกะซองแล้วดึงกระดาษออกมา เปิดอ่านทันที ในจดหมายมีอักษรเขียนไว้เพียงไม่กี่ตัว ‘เดิมใจข้าฝักใฝ่ในจันทรา จนปัญญาจันทร์เจ้าส่องลงคลองคู!’
เขาพลิกซองจดหมายรวมถึงกระดาษดู ไม่ปรากฏชื่อผู้ส่ง
ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “อาจจะมาจากหนิวโหย่วเต้าขอรับ”
อวี้ชางมีสีหน้าตึงเครียด จ้องมองข้อความสองแถวนั้น ความหมายที่แฝงอยู่ในข้อความคือ ‘เจ้าบังคับข้าเอง’
เกิดเสียงดังสวบ! อวี้ชางขยำจดหมายในมือ เอ่ยเสียงเข้ม “เพิ่มแนวป้องกันสวนไม้เลื้อย เตรียมการให้พร้อมอพยพ!”
“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งเพิ่งจะตอบรับไป จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งทะบานเข้ามาจากด้านนอก ยืนนอกศาลาท่ามกลางฝนปรอยประสานมือเอ่ยแจ้ง “อาจารย์ ปู้สวินกับหนิวโหย่วเต้ามาขอรับ”
สองศิษย์อาจารย์ที่อยู่ในศาลาตกใจขึ้นมาพร้อมกัน อวี้ชางรีบถาม “ปู้สวินพาคนมามากน้อยเพียงใด?”
ศิษย์ด้านนอกตอบว่า “ไม่มากขอรับ ผู้ติดตามหกเจ็ดคน แต่งชุดลำลองมาด้วยรถม้าคันเดียว”
สองศิษย์อาจารย์ที่อยู่ในศาลาสบตากัน อวี้ชางคลี่จดหมายในมือออกดู ขมวดคิ้วพลางเดินกลับไปกลับมาไม่หยุด พึมพำเสมือนเอ่ยกับตัวเอง “พบหรือไม่พบกันเล่า?”
ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “อาจารย์ หากไม่พบมิใช่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเรากินปูนร้อนท้องหรอกหรือขอรับ? ปู้สวินมาด้วยตัวเอง เวลานี้ไม่สามารถหลบหนีจากไปได้ทันแล้ว หากหนีจะเป็นการเผยตัวตนของพวกเรา หนิวโหย่วเต้าก็ไม่มีหลักฐานยืนยันด้วยว่ามือสังหารที่ส่งไปคือคนของพวกเรา”
“พูดมีเหตผล!” อวี้ชางหยุดเดินพลางพยักหน้ารับ จากนั้นก็ออกคำสั่ง “ส่งคนไปตรวจสอบละแวกรอบข้าง หากปู้สวินต้องการมาหาเรื่องจริงไม่มีทางพาคนมาแค่นี้แน่”
“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งรับคำสั่ง รับจดหมากจากมืออวี้ชางไป นำออกไปพร้อมกันกล่องใบนั้น
อวี้ชางปลุกขวัญกำลังใจ ดวงตาฉายแววเย็นชา จากนั้นกระตุ้นความฮึกเหิมอีกครั้ง เดินอาดๆ ออกจากศาลาไปต้อนรับแขกผู้มาเยือน
เฉลียงทางเดินทอดยาวในสวน ปู้สวินสวมเลื้อคลุมกันลมทับชุดขันทีที่อยู่ด้านใน ยืนหลบฝนอยู่ในศาลาเชื่อมเฉลียงร่วมกับหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ ยามที่ลงจากรถม้าย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนละอองฝนไปบ้าง มีองครักษ์หลายคนกระจายตัวอยู่รอบข้าง
ได้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง ได้เห็นทิวทัศน์ที่คุ้นตา ในใจก่วนฟางอี๋รู้สึกสะท้อนใจเหลือคณา นี่คือบ้านที่นางอาศัยอยู่มานานหลายสิบปี
ณ หัวมุมหนึ่งของเฉลียงทางเดิน อวี้ชางปรากฏตัวขึ้น เดินสาวเท้าเข้ามา ประสานมือปลกๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้ดูแลหลวง!” สายตาเหลือบแลไปทางหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
ปู้สวินค้อมกายคำนับกลับ “อาจารย์อวี้ชาง มารบกวนอีกแล้ว ขออภัยอย่างยิ่ง!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มละไมพลางจ้องมองผู้ที่เดินเข้ามา ประสานมือคำนับ
“ผู้ดูแลหลวงกล่าวหนักเกินไปแล้ว หากไม่กลัวจะเป็นการรบกวนผู้ดูแลหลวงเกินไป ข้าก็อยากจะเชิญผู้ดูแลหลวงมาเที่ยวเล่นทุกวันใจแทบขาดแล้ว” อวี้ชางยิ้มเอ่ยไปตามมารยาท พยักหน้าให้หนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย สายตาเคลื่อนไปยังร่างของก่วนฟางอี๋ มองจากตำแหน่งยืนแล้วไม่คล้ายจะใช่ผู้ติดตามจึงเอ่ยถามว่า “ท่านนี้คือ?”
ปู้สวินตอบยิ้มๆ “เจ้าของเก่าสวนไม้เลื้อย หงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีผู้มีชื่อเสียงลื่อเลือง”
“โอ้!” อวี้ชางหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เอ่ยไปว่า “ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ได้พำนักอยู่ในสถานที่งามสง่ามีสุนทรีเช่นนี้ในเมืองหลวงแคว้นฉีก็เพราะบารมีของหงเหนียง!”
ก่วนฟางอี๋เก็บซ่อนความตื่นตัวและกระวนกระวายไว้ ตีหน้ายิ้มแย้มค้อมคำนับ “น้อมพบอาจารย์อวี้ชาง”
เจ้าบ้านและแขกพูดคุยกันตามมารยาทอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอวี้ชางก็นำทางเข้าไปนั่งในศาลาด้วยตัวเอง
เมื่อเจ้าบ้านและแขกนั่งลงแล้ว ก่วนฟางอี๋เดินอ้อมไปยืนด้านหลังหนิวโหย่วเต้าด้วยความเต็มใจ วางตัวเป็นผู้ติดตาม ไม่ได้นั่งด้วย
อวี้ชางก็ไม่เป็นฝ่ายสอบถามจุดประสงค์ที่มาเยือนก่อน สุดท้ายยังคงเป็นหนิวโหย่วเต้าที่ได้รับสายตาจากปู้สวินที่ถือถ้วยชาอยู่ที่ยิ้มละไมแล้วเอ่ยเข้าประเด็นสนทนา “อาจารย์อวี้ชาง โปรดเชิญหลานชายท่านมาพบกันหน่อยได้หรือไม่?”
อวี้ชางอ้าปากค้างพูดไม่ออก หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมาเล็กน้อย ตระหนักอะไรได้แล้ว เขาถามออกไป “น้องชายไม่คิดจะรับศิษย์มิใช่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ตอนนี้ข้าอยากจะรับขึ้นมาแล้ว”
“อืม…” ปู้สวินที่ละเลียดจิบชาอยู่เกือบจะพ่นน้ำชาในปากออกมาแล้ว เขาฝืนบังคับสะกดไว้ถึงไม่ได้พ่นออกมา มองหนิวโหย่วเต้าอย่างตกตะลึงนัก ทราบดีว่าวาจาที่เจ้าหนุ่มคนนี้กล่าวค่อนข้างไร้มารยาทไปหน่อยจริงๆ พูดตรงเกินไปหน่อยแล้วกระมัง พูดเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?
สีหน้าอวี้ชางขรึมลง แสร้งทำเป็นไม่พอใจ “น้องชาย เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรกัน คิดอยากรับก็จะรับ ไม่อยากรับก็ไม่นับ ไม่เห็นหัวผู้ใดเกินไปแล้วกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ขอกล่าวกันตามตรง คำพูดในครั้งก่อนเป็นเพียงข้ออ้างบ่ายเบี่ยง บทกลอนเป็นตัวข้าประพันธ์ขึ้นเองจริงๆ แต่การรับศิษย์มิใช่เรื่องเล็กเลย เบาหน่อยก็สอนได้แบบพอไปวัดไปวา เป็นการทำร้ายนักเรียนเปล่าๆ หนักหน่อยก็เป็นปัญหาที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้เป็นศิษย์เอง ทำให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงอาจารย์ คาดว่าตอนที่อาจารย์อวี้ชางจะรับศิษย์ก็คงไม่ได้หลับหูหลับตารับไปทั้งที่ไม่ทราบสถานการณ์อันใดทางฝ่ายผู้เป็นศิษย์เลย”
“ถึงแม้ข้าพเจ้าจะอ่อนวัย แต่ก็มีจิตสำนึกของผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาเช่นเดียวกับอาจารย์อวี้ ล้วนเป็นเจตนาดีไม่มีการดูหมิ่นใดๆ แน่นอน อาจารย์อวี้ทีศิษย์ทั่วหล้า น่าจะเข้าใจความรู้สึกในส่วนในนี้ดี คงไม่ถึงขั้นที่จะตำหนิเอาความได้ ครั้งก่อนหลังออกจากสวนไม้เลื้อยไป ข้าได้สอบถามข้อมูลหลานชายของท่านมาแล้ว ผลลัพธ์ที่ปรากฏคือหลานชายของท่านฉลาดอ่อนน้อม ขยันใฝ่เรียนรู้ มีความประพฤติดี ทำให้ข้าโล่งใจนัก หากพลาดลูกศิษย์เช่นนี้ไปอาจต้องนึกเสียใจไปชั่วชีวิต ครั้งนี้จึงเป็นฝ่ายทำตัวหนาเสนอตัวมาหาเอง หวังว่าอาจารย์อวี้จะช่วยให้สมประสงค์!”
อวี้ชางกัดกรามจนแก้มตึงเล็กน้อย สบถด่าอยู่ในใจ ฉลาดอ่อนน้อม ขยันใฝ่เรียนรู้ มีความประพฤติดีบ้าบออะไร เขาติดต่อกับโลกภายนอกน้อยครั้งนัก แล้วเจ้าจะไปสอบถามข้อมูลมาจากไหนได้ เป็นตัวมีเจตนาแอบแฝงพูดจาโมเมเอาเองชัดๆ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า