ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 546

ตอนที่ 546 แผนแคว้นจิ้นครองใต้หล้า

Ink Stone_Fantasy

ขามามีรถม้าเข้าสู่สวนไม้เลื้อยเพียงคันเดียว แต่ขาออกกลับมีสองคัน สวนไม้เลื้อยส่งรถม้าคันหนึ่งคุ้มกันเซี่ยลิ่งเพ่ยออกไป

ปู้สวินที่นั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่งมองก่วนฟางอี๋ที่นั่งอยู่ทางขวา จากนั้นก็มองหนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่ทางซ้าย พลันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าหันกลับไป ถามอย่างคล้ายจะแปลกใจ “อะไรหรือ?”

ปู้สวินค่อยๆ หลับตาลง ไม่พูดอะไรอีก

รถม้าทั้งสองคันมุ่งตรงสู่เรือนรับรองแขกต่างแคว้น หยุดลงนอกประตูใหญ่ ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลที่นี่ก็รีบเดินเข้ามาหา ปู้สวินที่นั่งอยู่ในรถม้าเลิกม่านหน้าต่างเอ่ยสั่งการเสียงเรียบไม่กี่ประโยค เจ้าหน้าที่คนนั้นตอบรับต่อเนื่อง จากนั้นก็นำทางหนิวโหย่วเต้า ก่วนฟางอี๋และเซี่ยลิ่งเพ่ยเข้าสู่ด้านใน รับผิดชอบดูแลด้วยตัวเอง

เซี่ยลิ่งเพ่ยมองซ้ายมองขวาไปตลอดทาง แม้จะสนใจใคร่รู้ แต่ก็มีท่าทางกระสับกระส่ายอยู่หลายส่วน

เขาได้ออกมาสัมผัสโลกภายนอกน้อยครั้งนัก อยู่ภายใต้การปกป้องดูแลของพวกอวี้ชางมาโดยตลอด ตามหลักแล้วยังคงเป็นครั้งแรกที่แยกกับพวกอวี้ชางที่อยู่ทางสวนไม้เลื้อย การออกมาคนเดียวเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งแอบมองท่านอาจารย์ด้านหน้าที่เพิ่งจะกราบฝากตัวไปอยู่เป็นระยะ คิดว่าดูอ่อนวัยเกินไปหน่อย

ปู้สวินที่เฝ้ามองตามอยู่ริมหน้าต่างรถม้าค่อยๆ ปล่อยมือลง แววตาลุ่มลึกถูกม่านหน้าต่างรถม้าค่อยๆ บดบังไป

หลังจากจัดการภายในเรือนรับรองเรียบร้อยแล้ว หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่อยู่ใต้ชายคาเพียงลำพัง ฝนหยุดแล้ว ฟ้าค่อยๆ กระจ่างใส ยังมีหยดน้ำไหลลงมาจากชายคาเป็นครั้งคราว

รออยู่ครู่หนึ่งก่วนฟางอี๋ก็มาถึง ยืนเคียงข้างพลางเอ่ยเสียงเบา “ตรวจสอบแล้ว มิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ติดต่อหาคนของสำนักเบญจคีรี ให้พวกเขาไปหาพวกเจ้าลิงแล้วเอาวิหคพาหนะที่ไม่ได้ใช้งานกลับไปก่อน”

ตอนนี้ก่วนฟางอี๋ทราบจุดประสงค์ในการกลับมาของเขาแล้ว อีกทั้งนับว่ายอมรับในตัวคนผู้นี้แล้ว มีลูกไม้มากจริงๆ การที่กล้าเล่นลูกไม้เช่นนี้ได้นับมีความกล้าไม่น้อยเลยจริงๆ

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ความกังวลของนางก็ยังไม่ลดน้อยลง ถามไปว่า “รับศิษย์คนนี้ไว้แล้วมีประโยชน์ใด? จะใช้เขาข่มขู่อวี้ชางได้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เก็บแม่ม่ายลูกกำพร้าคู่นี้ไว้ข้างกายนานหลายปี แต่ก่อนคิดว่ามีคุณธรรม แต่พอตอนนี้ทราบฐานะของอวี้ชางแล้ว หรือเจ้ายังคิดว่าเป็นเหตุผลเรื่องคุณธรรมอีกเล่า? ฐานะของคนเหล่านี้เร้นลับเปิดเผยไม่ได้ คนใดไม่เกี่ยวข้อง เลี่ยงได้ย่อมต้องหลีกเลี่ยงเป็นแน่ ไม่มีพาตัวภาระสองคนที่ไร้ประโยชน์ไปไหนมาไหนด้วย จะมองอย่างไรก็น่าสงสัยทั้งสิ้น บิดาของศิษย์ข้าคนนี้ไม่เผยชื่อเสียงเรียงนาม แต่ในเมื่อสามารถเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับคนอย่างอวี้ชางได้ เกรงว่าคงไม่ธรรมดา”

พอเอ่ยมาเช่นนี้ ก่วนฟางอี๋คิดดูอย่างละเอียดก็ค่อนข้างฉงนขึ้นมา ถามออกไป “เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า ข้าหาใช่เทพเซียนที่ทำนายชะตาได้ไม่ แค่รอดูไปก็พอ หากว่าไม่สำคัญ พวกเขาจะรอจนครบกำหนดสามวัน แต่หากว่ามีความสำคัญต่อพวกเขา พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ข้าได้ใช้เวลาได้เล่นลูกไม้อย่างเต็มที่แน่ มีความเป็นไปได้สูงที่จะมาหาข้าภายในวันนี้เลย!”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยอย่างหวั่นวิตก “หากหอจันทร์กระจ่างใช้ไม้แข็งขึ้นมา เกรงว่าผู้คุ้มกันของเรือนรับรองแขกคงไม่อาจขวางกลุ่มคนจากหอจันทร์กระจ่างได้ พวกเราอยู่ที่นี่ตามลำพัง เจ้าไม่กลัวอันตรายหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าปู้สวินไร้พิษสงหรือ? แรกเริ่มเขายังไม่เข้าใจ แต่หากภายหลังยังไม่เฉลียวใจถึงความผิดปกติอีก เขายังจะเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมหน่วยข่าวกรองได้หรือ? ยังจะใช่คนที่ช่วยผลักดันเฮ่าอวิ๋นถูฝ่ามรสุมนองเลือดแย่งชิงบัลลังก์ในตอนนั้นมาได้อีกหรือ? ท่าทีบังคับที่ข้ามีต่ออวี้ชางที่สวนไม้เลื้อยก็ล้วนทำเพื่อให้เขาเห็นทั้งนั้น หากเขายังไม่นึกสงสัยในจุดประสงค์ที่ข้ากลับมารับศิษย์ครั้งที่สองอีก หากว่าเชื่อคำพูดที่ข้ากล่าวไปก่อนหน้านี้จริงๆ เช่นนั้นสิถึงจะแปลก เกรงว่ารอบข้างในเวลานี้คงเต็มไปด้วยสายข่าวของปู้สวินแล้ว เกรงว่าอวี้ชางคงถูกเขาจับตามองแล้ว เจ้าให้หอจันทร์กระจ่างลองทำอะไรบุ่มบ่ามดูสิ”

ก่วนฟางอี๋พลันกระจ่างขึ้นมาทันที เข้าใจเรื่องราวแล้ว แผนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงการหลอกใช้ประโยชน์เท่านั้น แต่ความจริงกลับมีรายละเอียดแฝงอยู่ ร้อยเรียงกับดักเอาไว้ภายในแผนการ ถึงจะทำให้ทางนี้ดูเหมือนตกอยู่ในอันตราย แต่ความจริงแล้วยากจะถูกคุกคามได้ นางอดกลอกตาใส่เขาไม่ได้ “คนอย่างเจ้าช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน”

ด่าก็ส่วนด่า แต่ในใจยังคงทราบดี นี่คือแบบอย่างชั้นดีในการพยายามเอาชีวิตรอดเมื่อตกอยู่อันตราย คนธรรมดาไม่อาจหลีกเลี่ยงอันตรายเช่นนี้พ้น ไหนเลยจะกล้าเป็นฝ่ายบุกเข้ามาเสี่ยงอันตรายอีก จะใช้แผนนี้ได้ไม่เพียงแต่ต้องมีความสามารถเท่านั้น แต่ยังต้องมีความกล้าหาญสุขุมเยือกเย็นให้มากพอด้วยถึงจะเอาอยู่

พอเข้าใจแล้วนางก็สงบใจได้

พอย้อนคิดดูแล้ว หากมิใช่เพราะปล่อยมาจนถึงขั้นนี้ หากหนิวโหย่วเต้าแจ้งเรื่องราวให้นางทราบล่วงหน้า คาดว่านางคงอกสั่นขวัญเสียแน่ เรื่องเช่นนี้หากประมาทเพียงนิดก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ เรียกได้ว่าเสี่ยงถึงชีวิต ดีไม่ดีนางอาจจะคัดค้านอย่างรุนแรง

….

ณ วังหลวงแคว้นจิ้น ไม่ค่อยมีแสงทองอร่ามแวววาว ส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยสีดำ

ภายในห้องโถงแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีคิ้วชี้เฉียงเข้าหาจอนผม ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ยืนอยู่เบื้องหน้าแผนที่ฉบับหนึ่ง สวมชุดสีดำ รูปร่างล่ำสันกำยำ จ้องมองแผนที่ด้วยแววตาวาวโรจน์ดั่งพยัคฆ์

คนผู้นี้ก็คือไท่ซู่สยง ฮ่องเต้แคว้นจิ้น

ขันทีคนหนึ่งถือกระดาษกางไว้ อ่านออกเสียงอยู่ด้านหลังเขา “…นับตั้งแต่ซางเจี้ยนปั๋วถึงแก่กรรม ขวัญกำลังใจทัพแคว้นเยี่ยนไม่มั่นคง เกิดความวุ่นวายโกลาหล ราชสำนักค่อยๆ อ่อนแอลง กระทั่งฮ่องเต้อ่อนแอเจ้าศักดินาแกร่งกล้าขึ้นจะถึงช่วงที่เกิดวิกฤตใหญ่หลวงตามมา ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนไร้ความสามารถ โปรดคนฉ้อฉล คลางแคลงขุนนางมีความสามารถ ไม่มีทางพลิกสถานการณ์ได้ กลายเป็นลูกแกะที่รอวันถูกสี่แคว้นฝั่งตะวันออกเชือด ไม่ควรค่าให้กังวล! แคว้นเว่ย กษัตริย์เลอะเลือน หมกมุ่นสูญเสียความทะเยอทะยาน ขุนนางข้าราชบริพารรักสบาย ตามความเห็นของแซ่เซ่า แม้แคว้นเว่ยจะมั่งคั่ง แต่ความจริงเป็นหมูอ้วนพีเปราะบางไร้กำลัง! จักรพรรดิแคว้นฉีองอาจทรงธรรม ทว่าชราวัย เหล่าองค์ชายลอบเคลื่อนไหวพร้อมลงมือ ต่างปกปิดความคิดอยากจะขึ้นแทนที่เอาไว้ เหตุเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า”

“หากฝ่าบาทประสงค์ครองใต้หล้า แคว้นเว่ยก็คือคลังเสบียง ต้องพิชิตมาให้ได้ ในการกวาดล้างสี่แคว้นฝั่งตะวันอก แคว้นฉีอุดมกองทหารม้าชาญศึก หากประสงค์ครองใต้หล้าต้องมีคลังเสบียงไว้เติมกำลังก่อน หนึ่งฟ้ามิอาจมีสองตะวันได้ แคว้นเป้าหมายคลังเสบียงมีเสวียนเวยกางปีกปกป้อง ทางนี้สามารถส่งสาวงามไปยั่วยวนล่อลวงฮ่องเต้แคว้นเว่ยได้ ยุแยงสร้างความร้าวฉานระหว่างพี่น้องผู้ครองแคว้นเว่ย ต้องก่อให้เกิดปัญหาวุ่นวายขึ้นแน่ ส่วนดินแดนทหารม้าชาญศึก สามารถส่งผู้มีความสามารถเข้าไปช่วยหนุนเสริมความทะเยอทะยานในใจเหล่าองค์ชายได้ เมื่อถึงเวลาอันสมควร ทั้งสองแคว้นต่างเกิดจลาจลวุ่นวาย ฝ่าบาทยกทัพเข้าพิชิตคลังเสบียงก่อน เฮ่าอวิ๋นถูจะรับมือศึกนอกได้ก็ต้องสยบศึกในลงก่อน ไม่มีเวลามาไยดีทางแคว้นเว่ย ย่อมได้แคว้นเว่ยมาครองได้อย่างง่ายดาย! สี่แคว้นฝั่งตะวันออกแตกแยกไม่ปรองดอง ไร้กำลังจะมุ่งสู่ตะวันตก แคว้นฉีหัวเดียวกะเทียมเลียบยากจะยืนหยัดได้ ป้องกันกองทัพของฝ่าบาทได้ยาก ฝ่าบาทสามารถฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้เข้ากวาดล้างได้ในคราวเดียว”

“เมื่อสามแคว้นรวมเป็นหนึ่งเดียว ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีทะเลทรายขีดคั่น ตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตที่ราบสูงอันตราย ขอเพียงส่งทัพใหญ่ไปปิดกั้นเฝ้าระวังเส้นทางหลักไว้ อาศัยประโยชน์จากชัยภูมิและฤดูกาล ถึงสี่แคว้นอยากบุกโจมตีก็มีใจแต่ไร้กำลัง มีคลังเสบียงอยู่ในมือ มีกองทหารชาญศึกในครอบครอง มีเสบียงและไพร่พลครบครัน ขอเพียงฟื้นบำรุงกำลังเล็กน้อย รอให้สถานการณ์ภายในเป็นปึกแผ่นสักสองสามปี ทัพใหญ่ย่อมมีโอกาสดีได้รุกสู่ฝั่งตะวันออก…”

ไท่ซู่สยงที่จ้องมองแผนที่อยู่ด้วยแววตาเปล่งประกายอย่างยิ่งพลันหันกลับมาในทันใด คว้าสารรายงานในมือของขันทีไป

“…..” เสียงอ่านของขันทีขาดห้วงลง เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นเพียงว่าไท่ซู่สยงถือสารรายงานด้วยสองมือ เดินวนไปวนมา ก้มหน้าอ่านรายละเอียดแผนการในสารรายงาน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า