ตอนที่ 547 ข้าก็ไม่ได้วางแผนจะปล่อยคนไปอยู่แล้ว
พอเอ่ยจบก็ไม่ได้ยินคำตอบรับ
หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เห็นเพียงว่าก่วนฟางอี๋กำลังมองตนด้วยสีหน้าซับซ้อน จึงถามด้วยความฉงน “ไยจึงมองข้าเช่นนี้”
ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจ “ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าเล่นลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แล้ว? เจ้าไม่สังเกตหรือว่าตัวเจ้าถลำลึกลงไปในบุญคุณความแค้นเหล่านี้ลึกลงเรื่อยๆ แล้ว?”
“ยังเหลือช่องให้กลับตัวได้หรือ? พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ หันหลังกลับไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า จากนั้นยิ้มน้อยๆ เอ่ยหยอกเย้าต่อ “หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง ยิ่งลุกลามใหญ่โตเท่าไรก็ยิ่งทำเงินได้มากขึ้นเท่านั้น นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรอกหรือ?”
“ข้าเห็นแต่จะเสียเงินมากขึ้นเรื่อยน่ะสิ แล้วก็ยิ่งกลัวว่าจะต้องเสียชีวิตไปด้วย!” ก่วนฟางอี๋เอ่ยดูแคลนประโยคหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
แขกมาถึงแล้ว หนิวโหย่วเต้ากลับไม่ออกไปต้อนรับ หากแต่นั่งคอยอยู่ในศาลาต้มน้ำชาบนเตาดินเผาขนาดเล็ก
ทำเอาพวกอวี้ชางที่มาถึงประตูแล้วจะเข้าเลยก็ไม่เหมาะ จะไม่เข้าก็ไม่ได้
ไม่ว่าเบื้องหลังจะบุญคุณความแค้นอันใดแอบแฝงอยู่ แต่ภายนอกเขาก็นับเป็นคนมีชื่อเสียง อย่างน้อยก็สมควรจะแสดงมารยาทให้คนนอกได้เห็นบ้าง
“ทางนี้ เข้ามาสิ!” หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ในศาลาลุกขึ้นยืน โผล่หน้าออกมาจากแนวพุ่มไม้เขียวขจีที่บดบังอยู่พลางกวักมือเรียก
อวี้ชางถึงได้พาผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งเข้ามา จากนั้นเขากับตู๋กูจิ้งก็เข้าไปในศาลา
คนที่เหลือกระจายตัวออกไปรอบๆ ได้รับคำสั่งมาแล้วว่าทางนี้มีเรื่องจะเจรจาหารือกัน อย่าปล่อยให้ใครเข้าใกล้ได้
อวี้ชางนั่งลงตรงกันข้าม มองหนิวโหย่วเต้าที่ถือเหล็กเขี่ยถ่านอยู่ แค่นเสียงเหอะพลางเอ่ยว่า “ช่างมีสุนทรีจริงไ”
หนิวโหย่วเต้าอมยิ้มพลางกล่าว “เพิ่งจุดเตา น้ำยังไม่เดือด โปรดคอยสักครู่”
อวี้ชางมองไปรอบๆ “หลานชายคนนั้นของข้าละ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ย่อมตกอยู่ในอันตราย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย”
อวี้ชางกล่าวว่า “นี่คือหลักการในฐานะอาจารย์ของเจ้าหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เดิมใจข้าฝักใฝ่ในจันทรา จนปัญญาจันทร์เจ้าส่องคลองคู ต้องระวังเอาไว้หน่อยถึงจะดี ต้องนั่งให้มั่นถึงจะสงบใจได้มิใช่หรือ”
วาจานี้เท่ากับยอมรับแล้วว่าจดหมายที่ส่งไปพร้อมกับหัวคนเป็นฝีมือของผู้ใด อวี้ชางขบกรามแน่น “ส่งตัวคนมาแล้วข้าจะไม่ถือสาหาความกับเรื่องก่อนหน้านี้ ถือเสียว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น”
“ปากเปล่าไร้หลักประกัน”
“เจ้าต้องการหลักประกันใด สามารถเจรจากันได้”
“มีสิ่งทำให้ท่านยอมเจรจาได้อยู่ในมือก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีหลักประกันอื่นใดอีก หากท่านมีความจริงใจจริงๆ ก็ปล่อยให้ข้าพาตัวศิษย์คนนี้ไปเถอะ”
“หนิวโหย่วเต้า อย่าได้ทำตัวไม่รู้ดีรู้ชั่วจนเกินไป บางเรื่องหากทำลงไปแล้วไม่เป็นผลดีต่อตัวเจ้าแน่นอน หากทำให้ข้าโกรธขึ้นมาจริงๆ กำลังของทางฝั่งเราเจ้าเองก็ทราบดี ไม่ว่าเจ้าจะมีผู้ใดหนุนหลังอยู่ แต่ชั่วชีวิตนี้เจ้าอย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบ ลูกน้องของเจ้าเหล่านั้นข้าจะกำจัดทิ้งไปทีละคนๆ”
“อาจารย์อวี้ชาง ข้าไม่ได้ล้อเล่นอยู่! ข้าเอาตัวรอดได้แล้วยังกลับมาหาท่านอีก นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของข้าแล้ว ตัวข้าชมชอบคบค้าสหาย ชอบเจรจาผูกมิตร หากอาจารย์อวี้มีใจอยากเจรจาประนีประนอมจริง พวกเราก็สามารถกลับร้ายให้กลายเป็นดีได้ ข้าขอบอกเอาไว้ก่อน ลำพังหนานโจวเพียงมณฑลเดียวไม่เพียงพอจะดับความกระหายของข้าได้ ข้าต้องการแรงสนับสนุนที่มากขึ้นไปอีก ข้าสนใจในกำลังของหอจันทร์กระจ่างอย่างยิ่ง นี่คือเป้าหมายที่ข้ากลับมาหาอาจารย์อวี้ หรือว่าอาจารย์อวี้คิดว่าข้าเพียงกลับมารับตัวศิษย์เพียงเพื่อข่มขู่? ในสายตาอาจารย์อวี้ข้าคงมิใช่คนใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาเช่นนี้กระมัง? หลังจากทราบฐานะของอาจารย์อวี้แล้ว มองจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของอาจารย์อวี้ ดูเหมือนหอจันทร์กระจ่างจะไม่ได้อยากอยู่ในเงามืดไปชั่วชีวิต หอจันทร์กระจ่างสนใจในกองกำลังของเป่ยโจว เช่นนั้นจะไม่สนใจกองกำลังหนานโจวของข้าด้วยหรือ?”
แววตาอวี้ชางวูบไหว แค่นเสียงเหอะพลางเอ่ยไปว่า “หนานโจวเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน? เจ้าไปคิดหาทางดีกว่าว่าจะรับมือกับสำนักหยกสวรรค์อย่างไร”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “สำนักหยกสวรรค์ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงเลย อีกไม่นานข้าจะเขี่ยพวกเขาออกจากหนานโจวแล้ว”
ในใจอวี้ชางเกิดความประหลาดใจระคนสับสน หรี่ตาเอ่ยถาม “เจ้ากำลังล้อเล่นอยู่อย่างนั้นหรือ?”
น้ำชาที่ต้มไว้ด้านข้างเดือดแล้ว หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปยกกาน้ำชา รินใส่ถ้วยชาสองใบอย่างไม่เร่งร้อน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดื่มหรือไม่ก็ยังคงเลื่อนถ้วยชาไปให้อยู่ดี “เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายกันหรอก ตอนนี้ก็ยังบอกอะไรมากไม่ได้ อาจารย์อวี้รอดูไปก่อนก็ได้”
ในเมื่อเขาไม่บอก อวี้ชางก็ไม่พูดไร้สาระอีก “ปากเจ้าบอกอยากร่วมมือ แต่กลับควบคุมคนของข้าไว้ในกำมือ ร่วมมือประสาอะไรกัน?”
หนิวโหย่วเต้าเป่าน้ำชาร้อนกรุ่น “หากไม่คุมตัวคนไว้ พวกเราคงไม่ได้มานั่งคุยกัน อาจารย์อวี้ชางก็คงไม่มีทางยอมเผยตัวมาคุยกับข้า เรื่องทุกอย่างล้วนเป็นพื้นฐานเพื่อการร่วมมือทั้งสิ้น”
“อย่าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ ข้าขอถามเจ้าคำเดียว ทำอย่างไรถึงจะยอมปล่อยคน?”
“ข้าก็ไม่ได้คิดจะปล่อยคนไปอยู่แล้ว! ข้าจะพาตัวคนไปแน่นอน”
อวี้ชางพลันโมโหขึ้นมา สีหน้าของตู๋กูจิ้งที่อยู่ด้านข้างก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามทันที สื่อว่าให้สงบใจลงก่อน “แต่แน่นอน เรื่องที่อยากร่วมมือนั้นก็เป็นความจริงเช่นกัน”
อวี้ชางเอ่ยด้วยความโมโห “เจ้าจับตัวคนของข้าไว้แล้วจะมาพูดเรื่องความจริงใจกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านคิดว่าข้าอยากจะจับคนของท่านเอาไว้มากนักหรือ? อีกทั้งหอจันทร์กระจ่างของพวกท่านก็มิได้ดีเด่อันใด ชื่อเสียงของพวกท่านเป็นอย่างไรตัวพวกท่านเองไม่รู้หรือ? อีกไม่นานเรื่องที่ข้ารับศิษย์ไว้คงจะแพร่ออกไปจนคนทราบกันทั่วแล้ว ข้าคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงผลดีผลเสียที่แฝงอยู่อีกกระมัง? นี่คือพื้นฐานของการร่วมมือ! หากเพียงเพื่อสังหารเขาเท่านั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาแล้ว หากปล่อยเขาไปตอนนี้ พวกท่านก็ไม่มีทางยอมเมตตารามือ ข้าต้องมีตัวประกันไว้ในมือ ดังนั้น ข้าไม่มีทางปล่อยตัวคนตอนนี้ได้! ส่วนหลังจากนี้ หากทุกคนร่วมมือกันไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้วจริงๆ พัวพันกันลึกแล้ว ท่านคิดว่าข้ายังจำเป็นต้องจับตัวเขาไว้อีกหรือ?”
อวี้ชางขมวดคิ้วนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ พลันเอ่ยถาม “ปู้สวินรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เขาจะรู้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราต้องการให้เขารู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน หากท่านยินดีให้เรื่องรั่วไหลออกไป ข้าก็ไม่คัดค้าน”
….
ภายในวังหลวง ปู้สวินยืนอยู่ใต้ชายคานอกห้องทรงอักษร เฮ่าอวิ๋นถูจัดการราชกิจอยู่ด้านใน
ปู้ฟางเดินมาถึง ก้าวขึ้นบันไดมา เดินมาหยุดข้างกายเขาแล้วกระซิบบอก “อวี้ชางไปที่สวนรวมสุคนธาแล้วขอรับ ไปพบหนิวโหย่วเต้าราวหนึ่งชั่วยามถึงได้จากไป”
ปู้สวินทอดสายตามองออกไปไกล “สองคนนี้เล่นบ้าอะไรกันอยู่ ดึงข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ต้องมีปัญหาแน่นอน จับตามองต่อไป!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า