ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 547

สรุปบท ตอนที่ 547 ข้าก็ไม่ได้วางแผนจะปล่อยคนไปอยู่แล้ว: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอน ตอนที่ 547 ข้าก็ไม่ได้วางแผนจะปล่อยคนไปอยู่แล้ว จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 547 ข้าก็ไม่ได้วางแผนจะปล่อยคนไปอยู่แล้ว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 547 ข้าก็ไม่ได้วางแผนจะปล่อยคนไปอยู่แล้ว

พอเอ่ยจบก็ไม่ได้ยินคำตอบรับ

หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เห็นเพียงว่าก่วนฟางอี๋กำลังมองตนด้วยสีหน้าซับซ้อน จึงถามด้วยความฉงน “ไยจึงมองข้าเช่นนี้”

ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจ “ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าเล่นลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แล้ว? เจ้าไม่สังเกตหรือว่าตัวเจ้าถลำลึกลงไปในบุญคุณความแค้นเหล่านี้ลึกลงเรื่อยๆ แล้ว?”

“ยังเหลือช่องให้กลับตัวได้หรือ? พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ หันหลังกลับไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า จากนั้นยิ้มน้อยๆ เอ่ยหยอกเย้าต่อ “หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง ยิ่งลุกลามใหญ่โตเท่าไรก็ยิ่งทำเงินได้มากขึ้นเท่านั้น นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรอกหรือ?”

“ข้าเห็นแต่จะเสียเงินมากขึ้นเรื่อยน่ะสิ แล้วก็ยิ่งกลัวว่าจะต้องเสียชีวิตไปด้วย!” ก่วนฟางอี๋เอ่ยดูแคลนประโยคหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

แขกมาถึงแล้ว หนิวโหย่วเต้ากลับไม่ออกไปต้อนรับ หากแต่นั่งคอยอยู่ในศาลาต้มน้ำชาบนเตาดินเผาขนาดเล็ก

ทำเอาพวกอวี้ชางที่มาถึงประตูแล้วจะเข้าเลยก็ไม่เหมาะ จะไม่เข้าก็ไม่ได้

ไม่ว่าเบื้องหลังจะบุญคุณความแค้นอันใดแอบแฝงอยู่ แต่ภายนอกเขาก็นับเป็นคนมีชื่อเสียง อย่างน้อยก็สมควรจะแสดงมารยาทให้คนนอกได้เห็นบ้าง

“ทางนี้ เข้ามาสิ!” หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ในศาลาลุกขึ้นยืน โผล่หน้าออกมาจากแนวพุ่มไม้เขียวขจีที่บดบังอยู่พลางกวักมือเรียก

อวี้ชางถึงได้พาผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งเข้ามา จากนั้นเขากับตู๋กูจิ้งก็เข้าไปในศาลา

คนที่เหลือกระจายตัวออกไปรอบๆ ได้รับคำสั่งมาแล้วว่าทางนี้มีเรื่องจะเจรจาหารือกัน อย่าปล่อยให้ใครเข้าใกล้ได้

อวี้ชางนั่งลงตรงกันข้าม มองหนิวโหย่วเต้าที่ถือเหล็กเขี่ยถ่านอยู่ แค่นเสียงเหอะพลางเอ่ยว่า “ช่างมีสุนทรีจริงไ”

หนิวโหย่วเต้าอมยิ้มพลางกล่าว “เพิ่งจุดเตา น้ำยังไม่เดือด โปรดคอยสักครู่”

อวี้ชางมองไปรอบๆ “หลานชายคนนั้นของข้าละ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ย่อมตกอยู่ในอันตราย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย”

อวี้ชางกล่าวว่า “นี่คือหลักการในฐานะอาจารย์ของเจ้าหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เดิมใจข้าฝักใฝ่ในจันทรา จนปัญญาจันทร์เจ้าส่องคลองคู ต้องระวังเอาไว้หน่อยถึงจะดี ต้องนั่งให้มั่นถึงจะสงบใจได้มิใช่หรือ”

วาจานี้เท่ากับยอมรับแล้วว่าจดหมายที่ส่งไปพร้อมกับหัวคนเป็นฝีมือของผู้ใด อวี้ชางขบกรามแน่น “ส่งตัวคนมาแล้วข้าจะไม่ถือสาหาความกับเรื่องก่อนหน้านี้ ถือเสียว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น”

“ปากเปล่าไร้หลักประกัน”

“เจ้าต้องการหลักประกันใด สามารถเจรจากันได้”

“มีสิ่งทำให้ท่านยอมเจรจาได้อยู่ในมือก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีหลักประกันอื่นใดอีก หากท่านมีความจริงใจจริงๆ ก็ปล่อยให้ข้าพาตัวศิษย์คนนี้ไปเถอะ”

“หนิวโหย่วเต้า อย่าได้ทำตัวไม่รู้ดีรู้ชั่วจนเกินไป บางเรื่องหากทำลงไปแล้วไม่เป็นผลดีต่อตัวเจ้าแน่นอน หากทำให้ข้าโกรธขึ้นมาจริงๆ กำลังของทางฝั่งเราเจ้าเองก็ทราบดี ไม่ว่าเจ้าจะมีผู้ใดหนุนหลังอยู่ แต่ชั่วชีวิตนี้เจ้าอย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบ ลูกน้องของเจ้าเหล่านั้นข้าจะกำจัดทิ้งไปทีละคนๆ”

“อาจารย์อวี้ชาง ข้าไม่ได้ล้อเล่นอยู่! ข้าเอาตัวรอดได้แล้วยังกลับมาหาท่านอีก นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของข้าแล้ว ตัวข้าชมชอบคบค้าสหาย ชอบเจรจาผูกมิตร หากอาจารย์อวี้มีใจอยากเจรจาประนีประนอมจริง พวกเราก็สามารถกลับร้ายให้กลายเป็นดีได้ ข้าขอบอกเอาไว้ก่อน ลำพังหนานโจวเพียงมณฑลเดียวไม่เพียงพอจะดับความกระหายของข้าได้ ข้าต้องการแรงสนับสนุนที่มากขึ้นไปอีก ข้าสนใจในกำลังของหอจันทร์กระจ่างอย่างยิ่ง นี่คือเป้าหมายที่ข้ากลับมาหาอาจารย์อวี้ หรือว่าอาจารย์อวี้คิดว่าข้าเพียงกลับมารับตัวศิษย์เพียงเพื่อข่มขู่? ในสายตาอาจารย์อวี้ข้าคงมิใช่คนใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาเช่นนี้กระมัง? หลังจากทราบฐานะของอาจารย์อวี้แล้ว มองจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของอาจารย์อวี้ ดูเหมือนหอจันทร์กระจ่างจะไม่ได้อยากอยู่ในเงามืดไปชั่วชีวิต หอจันทร์กระจ่างสนใจในกองกำลังของเป่ยโจว เช่นนั้นจะไม่สนใจกองกำลังหนานโจวของข้าด้วยหรือ?”

แววตาอวี้ชางวูบไหว แค่นเสียงเหอะพลางเอ่ยไปว่า “หนานโจวเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน? เจ้าไปคิดหาทางดีกว่าว่าจะรับมือกับสำนักหยกสวรรค์อย่างไร”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “สำนักหยกสวรรค์ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงเลย อีกไม่นานข้าจะเขี่ยพวกเขาออกจากหนานโจวแล้ว”

ในใจอวี้ชางเกิดความประหลาดใจระคนสับสน หรี่ตาเอ่ยถาม “เจ้ากำลังล้อเล่นอยู่อย่างนั้นหรือ?”

น้ำชาที่ต้มไว้ด้านข้างเดือดแล้ว หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปยกกาน้ำชา รินใส่ถ้วยชาสองใบอย่างไม่เร่งร้อน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดื่มหรือไม่ก็ยังคงเลื่อนถ้วยชาไปให้อยู่ดี “เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายกันหรอก ตอนนี้ก็ยังบอกอะไรมากไม่ได้ อาจารย์อวี้รอดูไปก่อนก็ได้”

ในเมื่อเขาไม่บอก อวี้ชางก็ไม่พูดไร้สาระอีก “ปากเจ้าบอกอยากร่วมมือ แต่กลับควบคุมคนของข้าไว้ในกำมือ ร่วมมือประสาอะไรกัน?”

หนิวโหย่วเต้าเป่าน้ำชาร้อนกรุ่น “หากไม่คุมตัวคนไว้ พวกเราคงไม่ได้มานั่งคุยกัน อาจารย์อวี้ชางก็คงไม่มีทางยอมเผยตัวมาคุยกับข้า เรื่องทุกอย่างล้วนเป็นพื้นฐานเพื่อการร่วมมือทั้งสิ้น”

“อย่าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ ข้าขอถามเจ้าคำเดียว ทำอย่างไรถึงจะยอมปล่อยคน?”

“ข้าก็ไม่ได้คิดจะปล่อยคนไปอยู่แล้ว! ข้าจะพาตัวคนไปแน่นอน”

อวี้ชางพลันโมโหขึ้นมา สีหน้าของตู๋กูจิ้งที่อยู่ด้านข้างก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามทันที สื่อว่าให้สงบใจลงก่อน “แต่แน่นอน เรื่องที่อยากร่วมมือนั้นก็เป็นความจริงเช่นกัน”

อวี้ชางเอ่ยด้วยความโมโห “เจ้าจับตัวคนของข้าไว้แล้วจะมาพูดเรื่องความจริงใจกับข้าอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านคิดว่าข้าอยากจะจับคนของท่านเอาไว้มากนักหรือ? อีกทั้งหอจันทร์กระจ่างของพวกท่านก็มิได้ดีเด่อันใด ชื่อเสียงของพวกท่านเป็นอย่างไรตัวพวกท่านเองไม่รู้หรือ? อีกไม่นานเรื่องที่ข้ารับศิษย์ไว้คงจะแพร่ออกไปจนคนทราบกันทั่วแล้ว ข้าคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงผลดีผลเสียที่แฝงอยู่อีกกระมัง? นี่คือพื้นฐานของการร่วมมือ! หากเพียงเพื่อสังหารเขาเท่านั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาแล้ว หากปล่อยเขาไปตอนนี้ พวกท่านก็ไม่มีทางยอมเมตตารามือ ข้าต้องมีตัวประกันไว้ในมือ ดังนั้น ข้าไม่มีทางปล่อยตัวคนตอนนี้ได้! ส่วนหลังจากนี้ หากทุกคนร่วมมือกันไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้วจริงๆ พัวพันกันลึกแล้ว ท่านคิดว่าข้ายังจำเป็นต้องจับตัวเขาไว้อีกหรือ?”

อวี้ชางขมวดคิ้วนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ พลันเอ่ยถาม “ปู้สวินรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เขาจะรู้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราต้องการให้เขารู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน หากท่านยินดีให้เรื่องรั่วไหลออกไป ข้าก็ไม่คัดค้าน”

….

ภายในวังหลวง ปู้สวินยืนอยู่ใต้ชายคานอกห้องทรงอักษร เฮ่าอวิ๋นถูจัดการราชกิจอยู่ด้านใน

ปู้ฟางเดินมาถึง ก้าวขึ้นบันไดมา เดินมาหยุดข้างกายเขาแล้วกระซิบบอก “อวี้ชางไปที่สวนรวมสุคนธาแล้วขอรับ ไปพบหนิวโหย่วเต้าราวหนึ่งชั่วยามถึงได้จากไป”

ปู้สวินทอดสายตามองออกไปไกล “สองคนนี้เล่นบ้าอะไรกันอยู่ ดึงข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ต้องมีปัญหาแน่นอน จับตามองต่อไป!”

ไม่กี่วันต่อมา มีข่าวหนึ่งแพร่มาจากทางแคว้นจิ้น สะท้านสะเทือนทั่วหล้า

ฮ่องเต้แคว้นจิ้นประกาศแต่งตั้งเซ่าผิงปอเป็นผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว!

นี่เป็นการแต่งตั้งแบบเลื่อนลอยชัดๆ แคว้นจิ้นแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ในเขตพื้นที่ของแคว้นอื่นให้แก่เขา นี่มิใช่เรื่องตลกชวนหน้าขายหน้าหรอกหรือ?

แต่เจตนาและความทะเยอทะยานที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้กลับทำให้คนต้องเก็บไปคิด

และแน่นอน นี่ย่อมมีสาเหตุมาจากการที่เซ่าผิงปอมีศักดิ์อำนาจในแคว้นจิ้นตื้นเขิน ซ้ำยังไร้ผลงาน จู่ๆ จะให้ประกาศแต่งตั้งตำแหน่งใหญ่โตให้ก็ไม่อาจมอบคำอธิบายให้ภายในราชสำนักได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องแต่งตั้งตำแหน่งเลื่อนลอยให้แบบนี้

แคว้นเยี่ยนและแคว้นหานเดือดร้อนขึ้นมาทันที ล้วนคิดว่ามณฑลเป่ยโจวเป็นดินแดนของแคว้นตนทั้งสิ้น จึงโต้แย้งออกไปในทันใด!

แคว้นจิ้นไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้ พวกเจ้าอยากประณามเช่นไรก็เชิญตามสบายเลย หากแน่จริงก็มาโจมตีข้าสิ!

แคว้นเยี่ยนและแคว้นหานจนปัญญาจะทำอะไรแคว้นจิ้นได้ ในเมื่อถูกเล่นงานมาอย่างไรก็ต้องโต้กลับไปเช่นนั้น ภายหลังจึงมีการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ในเขตพื้นที่แคว้นจิ้นเช่นกัน ราวกับเด็กน้อยเล่นขายของไม่มีผิด ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องราวในภายหลัง

….

ณ จวนอิงอ๋อง เฮ่าเจินเพิ่งกลับมาจากในวัง เซ่าหลิ่วเอ๋อร์มารอต้อนรับ ช่วยปลดเสื้อคลุมกันลมให้เขาด้วยตัวเอง

พอเห็นว่าเฮ่าเจินคล้ายจะมีเรื่องในใจ เซ่าหลิ่วเอ๋อร์พาดเสื้อคลุมกันลมไว้บนแขน ลองสอบถามไป “จู่ๆ เสด็จพ่อก็เรียกท่านอ๋องเข้าวัง ไม่มีอะไรใช่ไหมเพคะ?”

“เจ้าได้ติดต่อกับทางพี่ชายของเจ้าบ้างหรือไม่?” เฮ่าเจินคล้ายเอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อย

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อเพคะ”

“ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องกัน สมควรจะติดต่อก็ควรติดต่อไว้บ้าง” เฮ่าเจินเอ่ยเตือนประโยคหนึ่งก็เงียบไป จากนั้นเอ่ยเสริมว่า “หากไม่มีช่องทางติดต่อก็ให้ส่งจดหมายไปที่จวนราชทูตแคว้นจิ้นให้ดำเนินการแทนได้”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมา ปกติแล้วสวามีระมัดระวังรอบคอบ ไม่กล้านำเรื่องงานมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัน ครั้งนี้ที่เข้าวังไปเกรงว่าจะได้รับคำสั่งมาจากฝ่าบาทแล้ว ดูเหมือนเรื่องที่พี่ใหญ่ไปพึ่งพิงแคว้นจิ้นจะดึงดูดความสนใจของฝ่าบาทได้

“เฮ้อ พี่ใหญ่คนนั้นของเจ้าไม่ธรรมดาเลยจริง ร้ายกาจเหลือเกิน!” เฮ่าเจินนั่งลงแล้วทอดถอนใจ สื่อความคิดออกมาอย่างชัดเจน

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ค่อนข้างตกตะลึง นึกถึงวาจาของเซ่าผิงปอที่เอ่ยไว้ก่อนจากไป เจ้าคิดว่านอกจากเฮ่าเจินแล้ว ข้าจะไร้หนทางไปต่อจริงๆ น่ะหรือ?

วาจานั้นคือความจริง นางนึกไม่ถึงเลย ไม่ใช่แค่แคว้นเว่ยเท่านั้นที่ช่วยให้พี่ใหญ่หลบหนี แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นจิ้นก็ยังให้เกียรติเช่นนี้ ทำให้ในใจนางรู้สึกผิดหวังอยู่พอสมควร

มีหรือที่เฮ่าเจินที่นั่งก้มหน้าเงียบงันอยู่ตรงนั้นจะไม่รู้สึกผิดหวัง ด้วยการปฏิบัติอย่างให้เกียรติของไท่ซู่สยง ทำให้เขารู้สึกขึ้นมารางๆ ว่าตนพลาดอะไรไปแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะนำเอาวิสัยทัศน์ของตนไปเทียบกับไท่ซูสยง

……………………………………………………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า