ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 575

สรุปบท ตอนที่ 575 ข้าจะไปทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 575 ข้าจะไปทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บท ตอนที่ 575 ข้าจะไปทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 575 ข้าจะไปทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?

บริเวณที่เกิดการต่อสู้ยุ่งเหยิงเละเทะไปหมด จ้าวเซินเฝ้ามองตามด้วยสีหน้าหมองคล้ำ

“ท่านเจ้ากรม ราชทูตแคว้นซ่งเผชิญการลอบสังหารในเวลานี้ ออกจะบังเอิญเกินไปแล้วกระมังขอรับ” ขันทีผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือน

จ้าวเซินปรายตามอง “ยังต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ?”

คนตาบอดก็ยังมองออกเลยว่าจังหวะลอบสังหารครั้งนี้ผิดปกติ จะใช่ฝีมือของเกาเซ่าหมิงหรือไม่ก็ไม่กล้ายืนยัน มณฑลจินโจวและมณฑลหนานโจวล้วนมีโอกาสที่จะลงมือทั้งคู่ หรืออาจจะเป็นฝีมือของแคว้นซ่งเองก็เป็นได้ ปัญหาสำคัญคือท่าทีของแคว้นซ่ง ทันทีที่รูปการณ์เปลี่ยนแปลงไป มีข้ออ้างดีขนาดนี้ตกไปอยู่ในมือแคว้นซ่ง แคว้นซ่งจะยินดีเชื่อว่าเรื่องราวมีเงื่อนงำแล้วตามสืบหาความจริง หรือว่าจะเต็มใจเชื่อการจัดฉาก นั่นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทางแคว้นซ่งเองแล้ว

ขันทีเอ่ยถาม “ตอนนี้จะเอาอย่างไรดีขอรับ?”

“รีบส่งข่าวรายงานไปยังราชสำนักเดี๋ยวนี้ ส่งข่าวไปหาเกาเซ่าหมิงพร้อมกันด้วย ให้เขาเตรียมการรับมือ” จ้าวเซินเดินอาดๆ ย้อนกลับมา ปีนขึ้นหลังม้าบังคับให้หักเลี้ยวกลับ “กลับไปยังจินโจว!”

ไม่กลับมณฑลจินโจวก็คงไม่ได้แล้ว ตัวเขาเองก็อยู่ทางนี้ด้วยไม่อาจนิ่งดูดายได้ เขาต้องไปดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ดูว่าพอจะหาช่องไกล่เกลี่ยไม่ให้เรื่องราวดำเนินไปในทิศทางที่เลวร้ายได้หรือไม่

ทั้งคณะวกม้ากลับ ควบม้าเปลี่ยนทิศทางย้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว…

….

ณ เรือนรับรองอวลสุคนธา อดีตพ่อบ้านเฉวียนเฉียวที่บัดนี้มีนามว่ากัวผิง ถือจดหมายไว้พลางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง ยื่นจดหมายให้เกาเซ่าหมิงที่เดินวนกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง “ใต้เท้า แย่แล้วขอรับ ถูไหวอวี้ถูกลอบสังหาร สิ้นชีพไปแล้วขอรับ!”

“…..” เกาเซ่าหมิงหยุดเดินหันกลับมา มีสีหน้าตกตะลึง ฉวยจดหมายไปเปิดอ่านทันที หลังอ่านจบสีหน้าก็มืดมนลง เอ่ยด้วยความโมโห “เหลวไหลทั้งเพ ข้าจำเป็นต้องไปลอบสังหารตาเฒ่าคนนั้นเหรอ?”

กัวผิงเอ่ยเตือน “ใต้เท้า ยังจำเหตุขัดแย้งระหว่างท่านกับถูไหวอวี้ในงานเลี้ยงคืนนั้นได้หรือไม่ขอรับ?”

เกาเซ่าหมิงถามกลับ “เช่นนั้นแล้วอย่างไร? ในหมู่ราชทูตก็เกิดเรื่องทะเลาะขัดแย้งขึ้นเป็นปกติมิใช่หรือ?”

กัวผิงกล่าวว่า “เกรงว่าคนนอกจะไม่คิดเช่นนี้ขอรับ คงจับมาเชื่อมโยงเป็นแน่!”

เกาเซ่าหมิงขบกรามจนแก้มตึง สะบัดมือเอ่ยว่า “ให้ทุกคนรีบเก็บข้าวของ ออกเดินทางทันที….ช้าก่อน!” พูดออกไปเอ่ยระงับไว้ สีหน้าดูแย่ หากหลบหนีไปในตอนนี้ก็คงจะแก้ต่างเรื่องราวได้ไม่กระจ่างแล้ว จะต้องสงสัยว่าหลบหนีความผิดเอาได้

เขายกจดหมายในมือขึ้นมาอ่านดูอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง “เรื่องนี้มิใช่ฝีมือของพวกเรา พวกเรารู้อยู่แก่ใจดี แต่กลับพุ่งเป้ามาทางพวกเราอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการจงใจปรักปรำ เรื่องนี้หากมิใช่ฝีมือของจินโจวก็คงเป็นฝีมือของหนานโจว เผลอๆ…ด้วยกำลังคุ้มกันของคณะราชทูตแคว้นซ่งแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้มือสังหารทำสำเร็จได้ง่ายดายปานนั้น เกรงว่าอาจจะเป็นฝีมือแคว้นซ่งเองก็ได้!”

กัวผิงพยักหน้ารับ เข้าใจความคิดของเขา หากเรื่องนี้เป็นฝีมือของทางแคว้นซ่งเอง เช่นนั้นปัญหาก็ร้ายแรงแล้ว นี่เท่ากับว่าแคว้นซ่งได้แสดงท่าทีออกมาแล้วว่าคิดจะฉวยโอกาสสร้างปัญหา!

พอตกยามบ่าย คณะราชทูตแคว้นซ่งเข้ามายังเรือนรับรองอวลสุคนธา บุกตรงไปยังเรือนพำนักของคณะราชทูตแคว้นเยี่ยน ทันทีที่ทั้งสองฝั่งเผชิญหน้ากัน ฝั่งหนึ่งต้องการปะทะ อีกฝ่ายขัดขวางป้องกัน

ศพของถูไหวอี้และผู้ติดตามถูกกองไว้บนพื้น

“การตายของใต้เท้าถู ข้าเองก็เสียใจเช่นกัน แต่เรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับทางเราเลย ต่อให้พวกเจ้าคิดจะปรักปรำก็ต้องนำหลักฐานออกมาด้วย!” เกาเซ่าหมิงชี้ศพบนพื้นพลางตะคอกกราดเกรี้ยว

“หลักฐานหรือ?” หลูเฉิงไห่ยิ้มหยัน กวาดตามองกลุ่มคนฝั่งตรงข้าม “สวีเกาอยู่ที่ใด?”

ตามคำบอกเล่าของเฉาเซิ่งไหว เขาได้ฟันแขนสวีเกาไปแผลหนึ่ง ขอเพียงลากตัวสวีเกาออกมาได้ พิสูจน์ดูว่ามีรอยแผลจากกระบี่หรือไม่ก็ใช้ได้แล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ รอยแผลจากกระบี่ไม่มีทางสมานหายดีได้

พอเอ่ยถึงสวีเกา หัวใจเกาเซ่าหมิงเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย เงามืดเข้าครอบงำหัวใจแล้ว แต่ยังคงเอ่ยไปด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “สวีเกาหายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

“หายตัวไปอย่างนั้นหรือ? นั่นช่างบังเอิญเสียจริง เช้าไม่หายเย็นไม่หาย ดันมาหายไปในเวลานี้ได้ เจ้าหลอกผู้ใดอยู่เล่า?” หลูเฉิงไห่โมโหจนหัวเราะหยันออกมา ยกมือชี้หน้าเกาเซ่าหมิง “หากต้องการยืนยันความบริสุทธิ์ก็ไปพาตัวสวีเกามาเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

เกาเซ่าหมิงกล่าวว่า “พอคิดจะปรักปรำก็ยัดเยียดความผิดให้ทุกวิถีทางกระมัง!”

หลูเฉิงไห่เอ่ยว่า “หยุดพูดเรื่องไร้ประโยชน์ได้แล้ว มอบตัวคนมาซะ ผิดถูกอย่างไรจะได้กระจ่าง!”

เกาเซ่าหมิงกล่าวว่า “ข้าบอกไปแล้วว่าเขาหายตัวไปเมื่อคืนนี้!” เขาเองก็จนปัญญาเช่นกัน ได้แต่ต้องกล่าวเช่นนี้

ขณะที่ทางฝั่งคณะทูตแคว้นซ่งก็ทนไม่ไหวแล้ว จังหวะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะปะทะกัน พลันมีเสียงตวาดเกรี้ยวกราดแว่วมาจากด้านนอก “หยุดมือให้หมด!”

ผู้บำเพ็ญเพียรของวังสวรรค์หมื่นวิมานมาถึงแล้ว เข้าปิดล้อมทางนี้ไว้

ผู้อาวุโสคนหนึ่งของวังสวรรค์หมื่นวิมานเดินออกมาจากกลุ่มคน “จินโจวของพวกเราใช่สถานที่ที่พวกท่านจะมาทำตัวป่าเถื่อนตามอำเภอใจได้หรือ?”

ความเคลื่อนไหวของทางนี้ครึกโครมเกินไป พวกฉู่เซียงอวี้ที่ตอนนี้ยังไม่จากไปเพราะได้รับราชโองการให้อยู่หาโอกาสเหมาะสมก็ทราบข่าวและเดินทางมาเช่นกัน

พอได้เห็นสถานการณ์นี้ ฉู่เซียงอวี้กับรองราชทูตหลิวเต๋อเจิ้งมองหน้ากันทันที

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑล หลีอู๋ฮวาเร่งเดินเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่ง ไปหาซือถูเย่าที่กำลังคุยเรื่องงานกับผู้อาวุโสคนหนึ่งอยู่ รายงานอย่างเร่งด่วนว่า “ท่านประมุข เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”

ซือถูเย่าถาม “รีบร้อนอะไร? ค่อยๆ พูดมา!”

แก้มซือถูเย่ากระตุกเล็กน้อย ในช่วงเริ่มต้นของเรื่องนี้ วังสวรรค์หมื่นวิมานก็เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน ถูกลากเข้าไปเกี่ยวพันด้วยแล้ว หากกล้าดึงหนิวโหย่วเต้าเข้าไปพัวพันด้วย วังสวรรค์หมื่นวิมานก็จะดิ้นไม่หลุดเช่นกัน นี่เป็นแผนสมรู้ร่วมคิด ทำได้เพียงช่วยปกปิดเป็นความลับไว้

ในเมื่อล้วนเป็นคนกันเองแล้ว ใช่ฝีมือของเจ้าหรือไม่ต่างฝ่ายต่างรู้แก่ใจดี ซือถูเย่าเองก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะซักไซ้ไล่เรียงเช่นกัน เพียงแต่อยากทราบความจริงในเรื่องราว พูดอีกอย่างคืออยากทราบรายละเอียดเรื่องขั้นตอน จะได้สะดวกต่อการเตรียมรับมือต่อเรื่องราวที่ไม่คาดคิด จนใจที่ถึงตายหนิวโหย่วเต้าก็ไม่ยอมรับ

ถามไปสองสามประโยคแล้วก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ซือถูเย่าจึงได้แต่กล่าวอำลาไป ก่อนจากไปได้เอ่ยเตือนว่า “ใครที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ผู้นั้นก็มีโอกาสที่จะเป็นฆาตกร แคว้นซ่งมิใช่คนโง่”

หนิวโหย่วเต้าตอบไม่ตรงคำถาม “เรื่องทางเรือนรับรองอวลสุคนธาไม่จำเป็นขัดขวาง พวกเขาอยากสู้ก็ปล่อยให้พวกเขาสู้กันไป จะขวางพวกเขาไปไยเล่า?”

วาจานี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาทราบเรื่องทางเรือนรับรองอวลสุคนธาแล้ว ซือถูเย่าเงียบไป เข้าใจเจตนาของเขา อีกฝ่ายหวังให้คณะราชทูตสองแคว้นทำให้เรื่องราวมันยิ่งบานปลาย เขาหันหลังเดินจากไป

ก่วนฟางอี๋เฝ้ามองจนคนจากไป เอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเขาพูดถูก แคว้นซ่งหาใช่คนโง่ไม่!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “สำคัญด้วยหรือ? พวกเรายื่นข้ออ้างพร้อมใช้งานไปให้ถึงมือแคว้นซ่งแล้ว แคว้นซ่งจะยอมแสร้งโง่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว”

ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ไม่ว่าอีกฝ่ายจะยอมแสร้งโง่หรือไม่ เจ้าย่อมต้องเป็นเป้าสงสัยของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน เจ้ามั่นใจหรือว่าต่อไปอีกฝ่ายจะไม่มาคิดบัญชีกับเจ้า? หากเจ้าทำเช่นนี้ต่อไป มันมีแต่จะเพิ่มอันตรายให้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ นะ”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ว่า “ตกอยู่ในปัญหาที่ประเดประดังเข้ามา สถานการณ์ล่อแหลม หากยังผ่านเรื่องที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ไปไม่ได้ ยังจะพูดถึงอนาคตอันใดอีกเล่า หาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในตอนนี้ก่อนก็พอ”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยไปว่า “เจ้าลืมเรื่องหนึ่งไปแล้วกระมัง ตัวเจ้าเป็นคนบอกเองว่าเซ่าผิงปอรู้แล้วว่าเฉาเซิ่งไหวถูกเจ้าบงการ ถ้าเฉาเซิ่งไหวโผล่ออกมาเป็นพยานชี้ตัวในช่วงเวลานี้ล่ะก็ เจ้าไม่กลัวเซ่าผิงปอจะลงมือบ้างหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ตอนนี้เขายังตั้งตัวในแคว้นจิ้นได้ไม่มั่นคง ข้าอยากจัดการเขาเสียเดี๋ยวเลย แต่เขาซ่อนตัวอยู่ในแคว้นจิ้นไม่เคลื่อนไหว ข้าจึงไม่มีโอกาส ต่อให้ลงมือแล้วอย่างไรเล่า หากเขายินดีจะหาเรื่องยั่วยุสองปู่หลานตระกูลเฉา ข้าก็ไม่คิดจะคัดค้านอันใด”

จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “อย่าคิดมากเลย ส่งข่าวแจ้งสถานการณ์ทางนี้ต่อท่านอ๋องเสีย ให้ทางท่านอ๋องได้เตรียมการวางแผนไว้”

ก่วนฟางอี๋พยักหน้ารับ หันหลังเดินออกไป…

เมื่อทั้งสองออกมาพ้นเรือนแล้ว ผู้อาวุโสมองสีหน้าของซือถูเย่าแล้วเอ่ยถาม “ประมุขสงสัยว่าการตายของถูไหวอวี้จะเป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต้าหรือขอรับ?”

ซือถูเย่าตอบว่า “มิใช่ว่าสงสัย แต่มั่นใจว่าเป็นฝีมือเขาแน่นอน เจ้าหนุ่มคนนี้ใจกล้าจริงๆ ต่อให้รักษาหนานโจวไว้ได้แล้วอย่างไร ไม่กลัวแคว้นซ่งจะมาเอาคืนเขาในภายหลังบ้างหรือ”

ผู้อาวุโสคนนั้นไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงมั่นใจ เนื่องจากไม่ทราบเรื่องที่ซือถูเย่าจัดคนคอยให้ความร่วมมือกับหนิวโหย่วเต้าอย่างลับๆ แต่ก็อดขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “คนผู้นี้บ้าไปแล้วกระมัง ครั้งก่อนสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนด้วยมือตนเอง ครั้งนี้ยังวางแผนสังหารราชทูตแคว้นซ่งอีก นี่ตั้งใจหมายหัวราชทูตแคว้นต่างๆ เอาไว้หรืออย่างไร?”

“แล้วผู้ใดว่าไม่ใช่เล่า” ซือถูเย่าถอนหายใจ ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ครั้งก่อนราชทูตแคว้นต่างๆ มาเยือน ราชทูตแคว้นเยี่ยนตาย ครั้งนี้ราชทูตแคว้นต่างๆ มาเยือน ราชทูตแคว้นซ่งก็ถูกลอบสังหารอีก มาแต่ละครั้งก็มีคนตาย ตายไปสองคนแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าว่าภายภาคหน้าราชทูตแคว้นต่างๆ คงไม่กล้ามาเยือนจินโจวของพวกเราแล้ว”

………………………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า