ตอนที่ 575 ข้าจะไปทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?
บริเวณที่เกิดการต่อสู้ยุ่งเหยิงเละเทะไปหมด จ้าวเซินเฝ้ามองตามด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
“ท่านเจ้ากรม ราชทูตแคว้นซ่งเผชิญการลอบสังหารในเวลานี้ ออกจะบังเอิญเกินไปแล้วกระมังขอรับ” ขันทีผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือน
จ้าวเซินปรายตามอง “ยังต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ?”
คนตาบอดก็ยังมองออกเลยว่าจังหวะลอบสังหารครั้งนี้ผิดปกติ จะใช่ฝีมือของเกาเซ่าหมิงหรือไม่ก็ไม่กล้ายืนยัน มณฑลจินโจวและมณฑลหนานโจวล้วนมีโอกาสที่จะลงมือทั้งคู่ หรืออาจจะเป็นฝีมือของแคว้นซ่งเองก็เป็นได้ ปัญหาสำคัญคือท่าทีของแคว้นซ่ง ทันทีที่รูปการณ์เปลี่ยนแปลงไป มีข้ออ้างดีขนาดนี้ตกไปอยู่ในมือแคว้นซ่ง แคว้นซ่งจะยินดีเชื่อว่าเรื่องราวมีเงื่อนงำแล้วตามสืบหาความจริง หรือว่าจะเต็มใจเชื่อการจัดฉาก นั่นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทางแคว้นซ่งเองแล้ว
ขันทีเอ่ยถาม “ตอนนี้จะเอาอย่างไรดีขอรับ?”
“รีบส่งข่าวรายงานไปยังราชสำนักเดี๋ยวนี้ ส่งข่าวไปหาเกาเซ่าหมิงพร้อมกันด้วย ให้เขาเตรียมการรับมือ” จ้าวเซินเดินอาดๆ ย้อนกลับมา ปีนขึ้นหลังม้าบังคับให้หักเลี้ยวกลับ “กลับไปยังจินโจว!”
ไม่กลับมณฑลจินโจวก็คงไม่ได้แล้ว ตัวเขาเองก็อยู่ทางนี้ด้วยไม่อาจนิ่งดูดายได้ เขาต้องไปดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ดูว่าพอจะหาช่องไกล่เกลี่ยไม่ให้เรื่องราวดำเนินไปในทิศทางที่เลวร้ายได้หรือไม่
ทั้งคณะวกม้ากลับ ควบม้าเปลี่ยนทิศทางย้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว…
….
ณ เรือนรับรองอวลสุคนธา อดีตพ่อบ้านเฉวียนเฉียวที่บัดนี้มีนามว่ากัวผิง ถือจดหมายไว้พลางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง ยื่นจดหมายให้เกาเซ่าหมิงที่เดินวนกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง “ใต้เท้า แย่แล้วขอรับ ถูไหวอวี้ถูกลอบสังหาร สิ้นชีพไปแล้วขอรับ!”
“…..” เกาเซ่าหมิงหยุดเดินหันกลับมา มีสีหน้าตกตะลึง ฉวยจดหมายไปเปิดอ่านทันที หลังอ่านจบสีหน้าก็มืดมนลง เอ่ยด้วยความโมโห “เหลวไหลทั้งเพ ข้าจำเป็นต้องไปลอบสังหารตาเฒ่าคนนั้นเหรอ?”
กัวผิงเอ่ยเตือน “ใต้เท้า ยังจำเหตุขัดแย้งระหว่างท่านกับถูไหวอวี้ในงานเลี้ยงคืนนั้นได้หรือไม่ขอรับ?”
เกาเซ่าหมิงถามกลับ “เช่นนั้นแล้วอย่างไร? ในหมู่ราชทูตก็เกิดเรื่องทะเลาะขัดแย้งขึ้นเป็นปกติมิใช่หรือ?”
กัวผิงกล่าวว่า “เกรงว่าคนนอกจะไม่คิดเช่นนี้ขอรับ คงจับมาเชื่อมโยงเป็นแน่!”
เกาเซ่าหมิงขบกรามจนแก้มตึง สะบัดมือเอ่ยว่า “ให้ทุกคนรีบเก็บข้าวของ ออกเดินทางทันที….ช้าก่อน!” พูดออกไปเอ่ยระงับไว้ สีหน้าดูแย่ หากหลบหนีไปในตอนนี้ก็คงจะแก้ต่างเรื่องราวได้ไม่กระจ่างแล้ว จะต้องสงสัยว่าหลบหนีความผิดเอาได้
เขายกจดหมายในมือขึ้นมาอ่านดูอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง “เรื่องนี้มิใช่ฝีมือของพวกเรา พวกเรารู้อยู่แก่ใจดี แต่กลับพุ่งเป้ามาทางพวกเราอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการจงใจปรักปรำ เรื่องนี้หากมิใช่ฝีมือของจินโจวก็คงเป็นฝีมือของหนานโจว เผลอๆ…ด้วยกำลังคุ้มกันของคณะราชทูตแคว้นซ่งแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้มือสังหารทำสำเร็จได้ง่ายดายปานนั้น เกรงว่าอาจจะเป็นฝีมือแคว้นซ่งเองก็ได้!”
กัวผิงพยักหน้ารับ เข้าใจความคิดของเขา หากเรื่องนี้เป็นฝีมือของทางแคว้นซ่งเอง เช่นนั้นปัญหาก็ร้ายแรงแล้ว นี่เท่ากับว่าแคว้นซ่งได้แสดงท่าทีออกมาแล้วว่าคิดจะฉวยโอกาสสร้างปัญหา!
พอตกยามบ่าย คณะราชทูตแคว้นซ่งเข้ามายังเรือนรับรองอวลสุคนธา บุกตรงไปยังเรือนพำนักของคณะราชทูตแคว้นเยี่ยน ทันทีที่ทั้งสองฝั่งเผชิญหน้ากัน ฝั่งหนึ่งต้องการปะทะ อีกฝ่ายขัดขวางป้องกัน
ศพของถูไหวอี้และผู้ติดตามถูกกองไว้บนพื้น
“การตายของใต้เท้าถู ข้าเองก็เสียใจเช่นกัน แต่เรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับทางเราเลย ต่อให้พวกเจ้าคิดจะปรักปรำก็ต้องนำหลักฐานออกมาด้วย!” เกาเซ่าหมิงชี้ศพบนพื้นพลางตะคอกกราดเกรี้ยว
“หลักฐานหรือ?” หลูเฉิงไห่ยิ้มหยัน กวาดตามองกลุ่มคนฝั่งตรงข้าม “สวีเกาอยู่ที่ใด?”
ตามคำบอกเล่าของเฉาเซิ่งไหว เขาได้ฟันแขนสวีเกาไปแผลหนึ่ง ขอเพียงลากตัวสวีเกาออกมาได้ พิสูจน์ดูว่ามีรอยแผลจากกระบี่หรือไม่ก็ใช้ได้แล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ รอยแผลจากกระบี่ไม่มีทางสมานหายดีได้
พอเอ่ยถึงสวีเกา หัวใจเกาเซ่าหมิงเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย เงามืดเข้าครอบงำหัวใจแล้ว แต่ยังคงเอ่ยไปด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “สวีเกาหายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“หายตัวไปอย่างนั้นหรือ? นั่นช่างบังเอิญเสียจริง เช้าไม่หายเย็นไม่หาย ดันมาหายไปในเวลานี้ได้ เจ้าหลอกผู้ใดอยู่เล่า?” หลูเฉิงไห่โมโหจนหัวเราะหยันออกมา ยกมือชี้หน้าเกาเซ่าหมิง “หากต้องการยืนยันความบริสุทธิ์ก็ไปพาตัวสวีเกามาเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
เกาเซ่าหมิงกล่าวว่า “พอคิดจะปรักปรำก็ยัดเยียดความผิดให้ทุกวิถีทางกระมัง!”
หลูเฉิงไห่เอ่ยว่า “หยุดพูดเรื่องไร้ประโยชน์ได้แล้ว มอบตัวคนมาซะ ผิดถูกอย่างไรจะได้กระจ่าง!”
เกาเซ่าหมิงกล่าวว่า “ข้าบอกไปแล้วว่าเขาหายตัวไปเมื่อคืนนี้!” เขาเองก็จนปัญญาเช่นกัน ได้แต่ต้องกล่าวเช่นนี้
ขณะที่ทางฝั่งคณะทูตแคว้นซ่งก็ทนไม่ไหวแล้ว จังหวะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะปะทะกัน พลันมีเสียงตวาดเกรี้ยวกราดแว่วมาจากด้านนอก “หยุดมือให้หมด!”
ผู้บำเพ็ญเพียรของวังสวรรค์หมื่นวิมานมาถึงแล้ว เข้าปิดล้อมทางนี้ไว้
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของวังสวรรค์หมื่นวิมานเดินออกมาจากกลุ่มคน “จินโจวของพวกเราใช่สถานที่ที่พวกท่านจะมาทำตัวป่าเถื่อนตามอำเภอใจได้หรือ?”
ความเคลื่อนไหวของทางนี้ครึกโครมเกินไป พวกฉู่เซียงอวี้ที่ตอนนี้ยังไม่จากไปเพราะได้รับราชโองการให้อยู่หาโอกาสเหมาะสมก็ทราบข่าวและเดินทางมาเช่นกัน
พอได้เห็นสถานการณ์นี้ ฉู่เซียงอวี้กับรองราชทูตหลิวเต๋อเจิ้งมองหน้ากันทันที
….
ณ จวนผู้ว่าการมณฑล หลีอู๋ฮวาเร่งเดินเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่ง ไปหาซือถูเย่าที่กำลังคุยเรื่องงานกับผู้อาวุโสคนหนึ่งอยู่ รายงานอย่างเร่งด่วนว่า “ท่านประมุข เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”
ซือถูเย่าถาม “รีบร้อนอะไร? ค่อยๆ พูดมา!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า