ตอนที่ 582 หัวของเซ่าผิงปอ
ทั้งสองแยกตัวออกมาจากกลุ่มคนเดินออกมาด้านข้างแล้วหยุดลง หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “ประมุขซือถูมีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”
ตอนนี้ซือถูเย่ามีความจริงใจให้เป็นอย่างมาก เอ่ยอย่างสะท้อนใจอย่างยิ่ง “น้องหนิว ถึงแม้จะคลี่คลายวิกฤตกาณณ์ของหนานโจวและจินโจวลงได้แล้ว แต่ก็เป็นการทำงานผลประโยชน์ของคนบางจำพวกเข้า ถึงอย่างไรวงสวรรค์หมื่นวิมานก็เป็นสำนักที่ทรงพลังแห่งหนึ่ง ราชสำนักไม่กล้าก่อเรื่องยุ่ง แต่เจ้ากลับต่างออกไป”
เขายกนิ้วจิ้มไหล่หนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย “รากฐานของเจ้าอย่างอ่อนด้อย สำนักเขามหายานก็ไม่มีทางยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อเจ้า ตอนนี้หนานโวยังปลอดภัยดี แต่เกรงว่าเจ้าจะมีปัญหาแล้ว ซางเจี้ยนสยงจักรพรรดิแคว้นเยี่ยนไม่มีทางยอมละเว้นเจ้า ข้าได้ประจักษ์ในฝีมือของน้องหนิวมาแล้ว มีเจ้าอยู่ในหนานโวข้าก็วางใจ หากเป็นคนอื่นอาจจะต้านรับกลยุทธ์ของราชสำนักแคว้นเยี่ยนไม่ไหว ครั้งนี้ไห่อู๋จี๋เสียเปรียบแล้วไม่มีทางยอมรับโดยดีแน่ วังสวรรค์หมื่นวิมานต้องการหลังบ้านที่มั่นคง ดังนั้นข้าไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับเจ้า”
ไม่ว่าจะมาจากความจริงใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายทุ่มเทกำลังแก้ไขวิกฤตให้ทางเขาจริงๆ เมื่อได้ประสบเรื่องราวบางอย่างก็นับว่าได้บ่มเพาะรากฐานความไว้วางใจขึ้นแล้ว
หนิวโหย่วเต้าค้ำด้ามกระบี่ด้วยสองมือ เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ย่ำม้าท่องทั่วหล้า ลมก็ดีฝนก็ช่าง แม้นเผชิญหมอกฝนชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป!”
ซือถูเย่าฟังแล้วส่ายหน้าทันที เอ่ยด้วยสีหน้าเจือแววชื่นชม “หากข้ายังหนุ่มกว่าอีกสักหลายสิบปีจะต้องผูกไมตรีร่วมสาบานกับเจ้าแน่นอน”
“ตอนนี้ก็ยังไม่สายเช่นกัน” หนิวโหย่วเต้าเปลี่ยนสีหน้า เอ่ยด้วยแววตาคาดหวัง “หากประมุขซือถูไม่รังเกียจ ข้าก็ยินดีจะสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กับประมุขซือถู!”
“หยุด!” ซือถูเย่าผงะไปเล็กน้อยจากนั้นก็รีบยกมือห้ามไว้ “ข้าว่าเจ้าพูดง่ายไปหน่อยกระมัง? ลิ่งหูชิวที่ร่วมสาบานกับเจ้าถูกจับเข้าคุกหลวงแคว้นฉี เฟิงเอินไท่ที่ร่วมสาบานกับเจ้าผลสุดท้ายทั้งสำนักถูกเจ้าเตะส่งออกจากหนานโจวไป ตอนนี้ถึงตาข้าแล้วงั้นหรือ? ข้ารับวาสนานี้ไม่ไหวหรอก!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ปัจจุบันต่างจากอดีต ประมุขซือถูไม่เหมือนกับพวกเขา พวกเราเป็นพันธมิตรกัน…”
“หยุด!” ซือถูเย่าโบกมือห้าม “ข้าต่างจากพวกเขาจริงๆ นั่นแหละ ข้ามีฐานะเป็นประมุขวังสวรรค์หมื่นวิมาน ทุกการกระทำของข้าคือตัวแทนของทั้งวังสวรรคืหมื่นวิมาน ทข้าไม่อาจตัดสินทุกเรื่องตามอารมณ์ได้ สรุปคือเรื่องนี้ข้าไม่อาจตัดสินใจเองได้ ข้าว่าแล้วไปเถอะ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ประมุขซือถูไปหารือกับพวกเขาดูก่อนก็ได้ หากว่าได้รับความเห็นชอบจากทุกคนเล่า?”
ซือถูเย่าไม่อยากเถียงเรื่องนี้กับเขาไม่รู้จบแล้ว บังคับเบี่ยงประเด็นสนทนาไป “ทางนี้ยังมีธุระอีกพอสมควร อีกทั้งข้าไม่อาจรั้งอยู่ที่นยี่ไปตลอดได้ น่าจะจากไปภายในวันสองวันนี้ น้องหนิวรักษาตัวด้วย” พูดจบก็ประสานมืออำลา หันหลังเดินออกไป
รอจนกลุ่มวังสวรรค์หมื่นวิมานจากไปแล้ว ก่วนฟางอี๋กระแวะเข้ามาหา “ทำตัวมีลับลมคมใน เขาพูดอะไรกับเจ้ากัน?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ไม่มีอะไร เพียงบอกว่าซางเจี้ยนสยงไม่ยอมปล่อยข้าไปแน่ ให้ข้าระวังไว้บ้าง”
“เฮ้อ!” ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจ
หนิวโหย่วเต้าหันไปมองนางเล็กน้อย “อย่าเอาแต่ทอดถอนใจเลย ได้ลูกกลอนวิญญาณสำหรับให้ข้าใช้บำเพ็ญเพียรมาหรือยัง?”
“วางใจเถอะ ไม่ขาดส่วนของเจ้าไปหรอก” ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง พลันเอ่ยถามด้วยสีหน้าเปี่ยมความสงสัยอีกครั้ง “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในการบำเพ็ญเพียรของเจ้าผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ เล่า? ปริมาณการบริโภคของเจ้าในตอนนี้ไม่คล้ายการบริโภคของผู้มีสภาวะระดับสร้างฐานเลย ระดับสร้างฐานต้องใช้ลูกกลอนวิญญาณมากขนาดนี้เชียวหรือ? ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าคล้ายปริมาณการบริโภคของระดับโอสถทองเล่า หรือว่าเจ้าจะทะลวงถึงระดับโอสถทองแล้ว?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างไม่นำพา “ข้าไม่รู้เรื่องการบำเพ็ญของคนอื่นๆ เท่าไร อาจเป็นเพราะเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรของแต่ละคนต่างกันไป การบริโภคจึงแตกต่างกันกระมัง”
“งั้นหรือ?” ก่วนฟางอี๋ค่อนข้างสงสัย นางยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ทำท่าว่าอยากจะสัมผัสหน้าท้องของเขา “กล้าให้ข้าตรวจสอบดูหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าสงบนิ่ง เขาขยับแขนย้ายกระบี่ที่ค้ำอยู่ด้านหน้าออก “มีอะไรต้องไม่ไว้ใจเจ้ากัน จะตรวจก็ตรวจสิ”
จุดตันเถียนแหล่งรวมปราณคือรากฐานพลังปราณทั้งหมดของผู้บำเพ็ญเพียร ทันทีที่ถูกทำลายทิ้ง สภาวะทั้งหมดในร่างจะถูกทำลายไปด้วย เทียบเท่ากับอีกชีวิตหนึ่งของผู้บำเพ็ญเพียร โดยเฉพาะเมื่อมีคนถ่ายเทพลังปราณเข้าสู่หน้าท้องทำการตรวจสอบในระยะประชิด หากมีเจตนาร้ายจริงจะไม่มีเวลาตอบโต้กลับเลยด้วยซ้ำ ไม่ต่างอะไรกับถูกคนยกดาบพาดคอเลย
ในสถานการณ์ปกติ ผู้บำเพ็ญเพียรจะยินยอมให้คนแตะต้องจุดอื่นๆ ในร่างกายได้แต่ไม่ยอมให้คนอื่นมาแตะต้องบริเวณจุดตันเถียน เช่นนั้นจะยังพอมีเวลาได้ตอบสนองป้องกัน
เมื่อเห็นว่าเขาไว้วางใจตนถึงเพียงนี้ ก่วนฟางอี๋แสดงสีหน้าหมิ่นหยามแต่ในใจกลับรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ค่อยๆ ยื่นมือไปแตะท้องน้อยของหนิวโหย่วเต้า แผ่พลังปราณเข้าไปสำรวจจุดตันเถียนของเขาอย่างเนิบช้า
ผลคือตรวจสอบพบว่าปราณแท้ในทะเลปราณของหนิวโหย่วเค้าถึงจุดที่บริสุทธิ์ถึงระดับหนึ่งแล้ว เพียงแต่ในจุดตันเถียนก็ยังว่างเปล่าอยู่ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีโอสถทองควบรวมขึ้นมาเลย
หลังจากนางถอนหลังปราณกลับไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มมิเชิงยิ้ม “เห็นแล้วกระมังว่าไม่ได้หลอกเจ้า คราวนี้เชื่อหรือยัง?”
ก่วนฟางอี๋พึมพำด้วยความฉงน “ประหลาด หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรของเจ้าจริงๆ?”
เขาไม่ได้หลอกนางเลย ยังไปไม่ถึงขั้นก่อโอสถจริงๆ แต่นางไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร ยังไม่ต้องพูดถึงปริมาณการบริโภคลูกกลอนวิญญาณที่ผิดปกติไปเลย แต่ระดับความบริสุทธิ์ของปราณแท้กลับมิใช่สิ่งที่ระดับสร้างฐานจะเทียบชั้นได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะบรรลุเป็นโอสถทองได้ นางจึงตั้งข้อสงสัยได้เพียงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรของเขา
จะใช่เคล็ดบำเพ็ญเพียรของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือไม่ นางก็อยากลองถามหนิวโหย่วเต้าเช่นกันว่าบำเพ็ญเพียรด้วยเคล็ดวิชาใด แต่นี่คือข้อมห้ามใหญ่หลวงของโลกบำเพ็ญเพียร
คนที่มีสังกัดสำนักแค่มองสำนักก็ทราบแล้วว่าบำเพ็ญเคล็ดวิชาใด ไม่จำเป็นต้องถามมากเลย ถามเช่นนี้จะเหมือนคลางแคลงว่าคนเขาทรยศต่อสำนัก เป็นการหมิ่นประมาทคนอื่น
ส่วนคนที่ไร้สังกัดสำนักก็ยังไม่อาจถามได้ ในเมื่อเป็นความสามารถที่ใช้รักษาชีวิตไว้ไหนเลยจะปล่อยให้คนนอกมาทราบจุดอ่อนได้ง่ายๆ
ก็เหมือนที่หนิวโหย่วเต้าไม่เคยซักถามเลยว่าเคล็ดวิชาบำเพ็ญของนางได้รับถ่ายทอดมาจากผู้ใด
ในเวลานี้เอง มีองครักษ์คนหนึ่งของจวนผู้ว่าการเดินเข้ามารายงาน “ฝ่าซือ ฉู่เซียงอวี้ราชทูตแคว้นจิ้นมาขอเข้าพบขอรับ”
ก่วนฟางอี๋มึนงง หนิวโหย่วเต้าก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน “ราชทูตแคว้นจิ้นมาพบข้าด้วยเรื่องใด?”
องครักษ์ตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ เขารออยู่นอกจวน ฝ่าซือจะยอมพบหรือไม่ขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญดูเล็กน้อย ท้ายที่สุดก็ตัดสินจะไปดูอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่ “เชิญเข้ามา”
องครักษ์เดินออกไป ก่วนฟางอี๋กระซิบเสียงเบา “เจ้าสังหารราชทูตไปสองรายติดแล้ว ยังมีคนกล้ามาหาถึงที่อีกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากลอกตาใส่นางทีหนึ่ง “ข้าก็ไม่ได้สังหารคนมั่วซั่ว จะสังหารเขาอย่างไม่มีสาเหตุไปไยเล่า?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า