ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 584

ตอนที่ 584 ตัวข้ายังหนักแน่นไม่หวั่นไหว!

เกาเซ่าหมิงพลันตื่นเต้นขึ้นมา รีบสาวเท้าเดินเข้าไป หมายจะดึงจดหมายลับในมือของขันทีคนนั้นมาดู

“ใต้เท้าเกา!” ขันทีคนนั้นเอ่ยเตือนคราหนึ่ง ยกมือห้ามไว้ ขอให้อีกฝ่ายสำรวมตน หากไม่มีคำสั่งจากจ้าวเซิน ทางนี้ไหนเลยจะปล่อยให้คนอื่นอ่านจดหมายลับได้ง่ายๆ?

เกาเซ่าหมิงได้แต่ต้องหยุดมือลง หันไปมองจ้าวเซิน

จ้าวเซินก็จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน จากข่าวที่ได้รับมา เป็นคนผู้นี้ที่ไปโน้มน้าวฝ่าบาทถึงทำให้เขาต้องย้อนกลับมาให้ความร่วมมือกับเรื่องกำจัดหนิวโหย่วเต้า ลงมือกับหนิวโหย่วเต้าในอาณาเขตมณฑลจินโจว ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นมาบ้าง ในแง่หนึ่งแล้วนี่นับเป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยง เขาถูกคนผู้นี้ทำให้พลอยเดือดร้อนไปด้วยแล้ว จึงไม่พอใจสักเท่าไร

แต่ก็ช่วยไม่ได้ ฝ่าบาทมีราชโองการลงมาแล้ว เขาจำเป็นต้องปฏิบัติตาม

สุดท้ายเขายังคงกระโดดลงมาจากก้อนหิน รับจดหมายลับจากขันทีคนนั้นไปตรวจดู หลังอ่านจบก็มุ่นคิ้วพึมพำว่า “เขาโดยสารวิหคพาหนะมามิใช่หรือ?”

เกาเซ่าหมิงทนไม่ไหวแล้ว “เจ้ากรมจ้าว สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

จ้าวเซินยื่นจดหมายให้เขาอ่าน

พอได้จดหมายไป เกาเซ่าหมิงอ่านดูอย่างละเอียดทันที หลังอ่านจบก็แปลกใจเช่นกัน “ใช้เส้นทางบกหรือ? เขากำลังจะกลับไปยังหนานโจว มีวิหคพาหนะแต่ไม่ใช้ กลับเลือกใช้เส้นทางบกอย่างนั้นหรือ?”

ทั้งสองสบตากัน จ้าวเซินเอ่ยว่า “ข้างกายเขานอกจากหงเหนียงกับอู๋เหล่าเอ้อร์คนนั้นแล้ว ก็มีเพียงเหล่าศิษย์ของวังสวรรค์หมื่นวิมานอีกสิบคนที่คุ้มกันไปส่ง เจ้าคิดว่าเขาอยากท่องเขาลำเนาไพร หรือเพราะรู้สึกเบื่อหน่ายหรือ?”

เกาเซ่าหมิงเข้าใจความหมายในวาจาของเขา นี่อาจจะเป็นหลุมพราง เขาเองก็กังวลใจในเรื่องนี้เช่นกัน มันจะผิดปกติเกินไปแล้ว “ต่อให้โดยสารวิหคพาหนะ คนที่จ้องจะเล่นงานเขาก็สามารถเล่นงานเขาได้อยู่ดี หรือจะเป็นเพราะทราบเช่นนี้ ดังนั้นจึงจงใจเล่นลูกไม้ตบตา?”

จ้าวเซินกล่าวว่า “เจ้าอย่าลืมไปเสียเล่า ถูไหวอวี้มีผู้คุ้มกันติดตามอารักขามากมายขนาดนั้นก็ยังปกป้องเขาไว้ไม่ได้ กองกำลังที่ลอบสังหารถูไหวอวี้ไม่ธรรมดาเลย หากว่าเป็นหลุมพรางจริงๆ จะทำให้สูญเสียอย่างมากได้”

เกาเซ่าหมิงเอ่ยว่า “แล้วจะให้มองดูเขาเดินทางกลับไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ? เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา เขามีอำนาจอยู่ในมือมากล้นแล้ว รอบคฤหาสน์กระท่อมฟางหลังนั้นของเขามีผู้บำเพ็ญเพียรหลายพันคนจากสามสำนักคอยอารักขาอยู่ อีกทั้งรอบข้างยังมีกองทัพคอยเฝ้าคุ้มกัน ต่อให้เป็นทัพใหญ่แสนนายก็ยากจะโจมตีฝ่าเข้าไปได้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงก็อย่าฝันว่าจะเข้าใกล้เขาได้ง่ายๆ หากเข้าใกล้เพียงเล็กน้อยจะถูกสายสืบที่จับตามองอยู่ในรัศมีหลายลี้รอบคฤหาสน์พบเห็นทันที มือสังหารยังไม่ทันได้เข้าใกล้ เพียงมีสายลมพัดยอดหญ้าไหวก็จะกลายเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้แล้ว จากนั้นเขาก็จะหลบหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย หุบเขากว้างใหญ่ หากคนผู้หนึ่งต้องการหลบซ่อนตัวก็ง่ายดายเหลือเกิน คิดจะออกตามหานั้นไม่ได้ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทรเลย”

“ที่พักแห่งนั้นของเขาถูกคุ้มกันหนาแน่นดั่งล้อมด้วยกำแพงเหล็ก หากปล่อยให้เขากลับไปเก็บตัวอยู่ในบ้านได้ คิดจะลงมือกับเขาอีกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับดักหรือไม่ เราก็ไม่อาจพลาดโอกาสดีในครั้งนี้ไปได้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดู เกิดมันเป็นลูกไม้ตบตาเล่า?”

จ้าวเซินถาม “เจ้าพากำลังคนมาด้วยหรือไม่?”

เกาเซ่าหมิงเอ่ยว่า “กองกำลังที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ยังไม่สลายตัว รอคำสั่งอยู่นอกเมืองจินโจวมาโดยตลอด ทางท่านเตรียมกำลังไว้มากน้อยเพียงใดกันเล่า?”

จ้าวเซินกล่าวว่า “ทางข้าไหนเลยจะเตรียมกำลังคนอันใดไว้ มีผู้ติดตามมาเพียงเท่านี้”

เกาเซ่าหมิงเอ่ยถามเสียงเครียด “หรือว่าจ้าวกงกงไม่ได้รับราชโองการจากเบื้องบน?”

จ้าวเซินเอ่ยว่า “ราชโองการจากเบื้องบนเพียงสั่งให้ข้าให้ความร่วมมือกับเจ้าในการดำเนินงาน สายสืบจากหอชมดาวของข้าล้วนช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้า คอยจับตามองความเคลื่อนไหวของทางนั้นทุกฝีก้าว ทำให้ทางเจ้าได้รับทราบข่าวสารจากทางนี้ตลอด อีกทั้งช่วยจัดเตรียมวิหคพาหนะมาให้เจ้าอีกห้าตัว จัดเตรียมไว้ให้เจ้าได้ใช้งานในกรณีที่หนิวโหย่วเต้าโดยสารวิหคพาหนะหลบหนีไป หรือว่ากระทั่งเรื่องต่อสู้ฆ่าฟันเจ้าก็ยังจะให้คนของข้าวิ่งไปอยู่ข้างหน้าอีก? หากทำเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ มันก็เท่ากับข้าทำงานทั้งหมดคนเดียวแล้ว จำเป็นต้องให้เจ้ามาคอยชี้ไม้ชี้มือสั่งการอยู่ที่นี่อีกอย่างนั้นหรือ?”

ล้อเล่นหรือเปล่า รู้ทั้งรู้ว่าอาจจะมีหลุมพราง เขาจะปล่อยให้คนของตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายอยู่ในแนวหน้าได้อย่างไร เขาย่อมต้องให้คนของแคว้นเยี่ยนเข้าไปลองเสี่ยงหยั่งเชิงอยู่ในแนวหน้าแล้วค่อยว่ากันอีกที

เกาเซ่าหมิงถูกวาจาของอีกฝ่ายตอกหน้าจนพูดไม่ออก ที่สำคัญคือวาจาของอีกฝ่ายสมเหตุสมผล เขาเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “เช่นนั้นก็ได้ คนของข้าจะรับผิดชอบเรื่องโจมตีเอง! แต่หวังว่าจ้าวกงกงจะเข้าใจเช่นกัน ต้องกำจัดหนิวโหย่วเต้าทิ้ง แคว้นเยี่ยนถึงจะลงมือกับหนานโจวได้สะดวก เมื่อไม่มีหนานโจวคอยให้การสนับสนุน แคว้นของท่านถึงจะลงมือกับจินโจวได้สะดวก ในเมื่อพวกเราทั้งสองฝ่ายต่างร่วมมือกันแล้ว ก็หวังว่าจ้าวกงกงจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ทันทีที่ทางข้าต้องการกำลังสนับสนุน ขอจ้าวกงกงโปรดอย่าได้นิ่งดูดาย!”

จ้าวเซินกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเตือนหรอก ข้ารู้ดี”

“แผนที่!” เกาเซ่าหมิงยื่นมือไปขอแผนที่ ให้คนนำแผนที่ออกมากางไว้ด้านหน้าคนทั้งสอง ให้สายสืบของทางจ้าวเซินติดตามยืนยันความเคลื่อนไหวและพิกัดที่หนิวโหย่วเต้าอยู่อีกครั้ง หารือกันว่าจะไปดักซุ่มอยู่ที่ใด

….

ณ ประตูเมืองฝั่งตะวันออก ขบวนเดินทางสิบกว่าคนเริ่มเคลื่อนตัว หนิวโหย่วเต้า ก่วนฟางอี๋และอู๋เหล่าเอ้อร์ที่สะพายกรงปีกทองไว้บนหลังก็อยู่ในขบวนด้วย มีศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานสิบคนติดตามคุ้มกัน

สมัยที่ก่วนฟางอี๋ยังสาวจะสวมชุดเรียบง่ายงามสง่า แต่ตอนนี้ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไรกลับยิ่งชอบประโคมโฉมดั่งบุปผาสะพรั่ง

ใบนางของนางมักจะมีรอยยิ้มบางๆ อยู่เสมอ เรือนร่างเย้ายวนโยกไหวอยู่บนหลังม้า ดวงเนตรสุกสกาว นัยน์ตางามที่กวาดมองรอบข้างเป็นระยะเจือแววระแวดระวังและสอดส่อง

อู๋เหล่าเอ้อร์ที่ค่อยๆ สอดส่ายสายตาอย่างเชื่องช้ากลับดูค่อนข้างลุ่มลึก ภายนอกดูผ่อนคลาย แต่ภายในตื่นตัวอยู่เช่นกัน เฝ้าระวังรอบข้างอยู่ตลอดเวลา

ทั้งสองประกบหนิวโหย่วเต้าไว้ เฝ้าคุ้มกันจากสองฝั่งซ้ายขวา

แต่หนิวโหย่วที่ส่ายโยกเยกอยู่บนหลังม้ากลับสงบและสุขุมนัก ควบม้าผ่านเมืองเสมือนชมทุ่งบุปผาอยู่

ยามที่ออกจากเมือง ซุนหลินเซียนศิษย์ของหลีอู๋ฮวาคือหัวหน้ากลุ่มผู้คุ้มกันที่ทางวังสวรรค์หมื่นวิมานส่งมาอารักขาทางนี้ เขาออกหน้าไปแจ้งเรื่องเล็กน้อย ทหารเฝ้าประตูงดเว้นการสอบถามไป ปล่อยให้ทั้งขบวนผ่านออกจากเมืองได้โดยไร้อุปสรรคขัดขวาง

ออกจากเมืองมาได้ไม่นาน ม้าตัวหนึ่งที่หยุดอยู่ข้างประตูฝั่งนอกเมืองก็ควบเข้ามาหา พุ่งเข้ามาหาทางขบวน

ผู้ที่ควบม้าเข้ามาคือบุรุษในชุดลายดอก เป็นชุดลายดอกจริงๆ บนอาภรณ์ปักลายบุปผาเอาไว้เป็นช่อๆ เห็นได้ชัดว่าสวมหน้ากากปลอมแปลงใบหน้าไว้ ไม่ได้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง

“ผู้ใดกัน?” ซุนหลินเซียนที่มีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยตวาดถาม ยกกระบี่ขึ้นมาสื่อให้อีกฝ่ายอย่าเข้ามาใกล้

ขบวนทางฝั่งนี้เข้าสู่สภาวะเตรียมป้องกันทันที ก่วนฟางอี๋และอู๋เหล่าเอ้อร์ตื่นตัวอย่างเต็มที่ขึ้นมาแล้ว

ชายที่สวมชุดลายดอกรั้งบังเหียนในมือเล็กน้อย บังคับม้าเบี่ยงไปอยู่ริมขบวน ทอดสายตามองไปที่หนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองพินิจชุดลายดอกบนร่างอีกฝ่ายเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขัน โบกมือนิดๆ เอ่ยไปว่า “ไม่เป็นไร พวกเดียวกัน!”

พวกเดียวกันอย่างนั้นหรือ? ก่วนฟางอี๋และอู๋เหล่าเอ้อร์แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ล้วนมองเห็นแววฉงนในดวงตาของอีกฝ่าย มีคนเช่นนี้อยู่ในฝั่งตนด้วยหรือ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า