ตอนที่ 586 ผู้ตรวจการณ์หอเลือนสลัว
เสียงเกือกม้าดังก้อง ด้านหลังของขบวนม้าหลายสิบตัวคือทหารราบหลายพันนายที่วิ่งติดตามมา มุ่งหน้าสู่แถบป่าเขาที่เป็นจุดต่อสู้
เมื่อกำลังพลที่ประจำการอยู่ในละแวกใกล้เคียงได้รับคำสั่งจากกองทัพก็เร่งเดินทางมาทันที
ศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานคนหนึ่งที่ติดตามมาด้วยกระโดดลงจากหลังม้า ค่อยๆ ย่อตัวลงบนพื้น มองศพของศิษย์ร่วมสำนักด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
กองทหารกระจายตัวออกไป เริ่มออกค้นหาในป่าเขา ศพทุกร่างของมือสังหารถูกแบกหามออกมานับจำนวน นอกจากร่างของศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานทั้งเจ็ดศพแล้ว ศพที่เหลือล้วนถูกโยนลงไปรวมกันในหลุมที่ถูกขุดขึ้น
เปลวไฟถูกจุดขึ้นบนกองฟืน ซากศพถูกเผาเกิดกลิ่นไหม้คละคลุ้ง หลังจากเผาทำลายจนวอดก็กลบดินฝัง ทำลายร่องรอยศพตามความต้องการของหนิวโหย่วเต้า
….
ขบวนทหารนับพันมาถึงด้านนอกจุดพักม้าแล้ว ในขบวนก็มีศิษย์วังสวรรค์วิมานคนหนึ่งที่ติดตามมากับกองทัพเช่นกัน มาเพื่อรับตัวพวกซุนหลินเซียนที่บาดเจ็บ
ส่วนพวกหนิวโหย่วเต้าได้เปลี่ยนอาชาออกเดินทางไปนานแล้ว…
….
ณ จังหวัดชิงซาน โพรงถ้ำบนภูเขา เขตหวงห้ามของสำนักเบญจคีรี
หยวนกังนั่งอยู่ในโถงศิลาห้องหนึ่ง ตรวจสอบดูจดหมายลับที่ส่งมาจากสถานที่ต่างๆ ทุกวัน คัดกรองว่ามีข่าวสารที่เป็นประโยชน์หรือไม่ นี่คือหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของเขายามอยู่ในจังหวัดชิงซาน
ในโถงศิลามีโต๊ะสองตัว ตัวหนึ่งเป็นของหยวนกัง อีกตัวที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันเป็นของกงซุนปู้ ข่าวสารที่หยวนกังอ่านดูแล้วจะได้รับการตรวจสอบจากกงซุนปู้ไปพร้อมกัน
มีลูกศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก เอ่ยรายงานว่า “เจ้าสำนัก มีคนมาขอเข้าพบอยู่ด้านนอกหุบเขา แจ้งว่าเป็นสหายเก่าของท่านขอรับ”
กงซุนปู้อ่านข่าวสารในมือพลางเอ่ยถามส่งๆ ไปว่า “ผู้ใดกัน?”
ลูกศิษย์ตอบว่า “แจ้งนามว่าไป๋หลี่เจี๋ย บอกว่าบังเอิญผ่านมาทางนี้จึงถือโอกาสมาเยี่ยมขอรับ”
“ไป๋หลี่เจี๋ยหรือ?” กงซุนปู้ผงะไปเล็กน้อย วางจดหมายในมือลง เงยหน้าขึ้นด้วยความฉงน “เขามาได้อย่างไร?”
หยวนกังที่ดูเหมือนจะจดจ่อกับการอ่านช้อนตาขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม “ผู้ใดกัน?”
กงซุนปู้ตอบว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเพียรขอรับ”
หยวนกังถาม “สหายของเจ้าหรือ?”
กงซุนปู้ส่ายหน้า “สมัยก่อนตอนยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ทางนี้ ได้รู้จักเขาในช่วงที่ออกไปท่องเที่ยว อีกทั้งเคยพบกันเพียงครั้งเดียว ไม่นับว่าสนิทชิดเชื้อ นับเป็นสหายอันใดไม่ได้ เขามาด้วยเหตุใดกัน?”
หยวนกังไม่ได้ถามมากอีก ก้มหน้าอ่านข่าวสารในมือตนต่อไป
“เชิญเข้ามา” กงซุนปู้โบกมือเล็กน้อย ตัวเองก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน
เนื่องด้วยสถานภาพของสำนักเบญจคีรีในปัจจุบันนี้ จึงไม่สะดวกจะให้คนนอกเข้ามายังส่วนในของสำนักเบญจคีรี มีการสร้างหอสูงหลังหนึ่งขึ้นบนเนินเขาด้านนอกเขาที่ตั้งสำนัก เอาไว้ใช้รับรองแขกที่มาเยือนโดยเฉพาะ แล้วก็ใช้ผ่อนคลายและใช้ชมทิวทัศน์ได้
ไป๋หลี่เจี๋ยมาเยือนเพียงลำพัง มาคนเดียวพร้อมกระบี่อีกหนึ่งเล่ม สวมอาภรณ์ตัวหลวมแขนเสื้อกว้าง ไว้หนวดเคราสามปอย ยามเดินแขนเสื้อสะบัดไปมา ดูสง่างามอย่างยิ่ง
กงซุนปู้มาคอยที่ทางเข้าหอสูงแล้ว พอเห็นแขกเดินเข้ามาก็ประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไป๋หลี่ซยง ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ไป๋หลี่เจี๋ยหัวเราะดังฮ่าๆ ประสานมือกล่าวไปว่า “กงซุนซยง จากกันไปหลายปี ดูมีสง่าราศีขึ้นกว่าเดิมนะ”
กงซุนปู้เชิญให้อีกฝ่ายเข้ามานั่งในหอสูง รินชาให้ด้วยตัวเอง
ไป๋หลี่เจี๋ยคล้ายจะอยู่เฉยไม่เป็น เดินเตร่ขึ้นลงภายในหอสูง สำรวจดูรอบข้าง สุดท้ายก็มายืนอยู่ริมหน้าต่างบานหนึ่งที่ชั้นบน ทอดสายตามองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ไม่เอ่ยจุดประสงค์ที่ตนมาเสียที
กงซุนปู้ที่เดินตามอย่างมีความอดทนขมวดคิ้วนิดๆ สังเกตเห็นว่าคนผู้นี้ไม่ตระหนักเลยว่าตัวเองเป็นแขก พวกเขาสนิทกันนักหรือ?
ไป๋หลี่เจี๋ยเหลือบเห็นจากปลายหางตาก็ยิ้มออกมานิดๆ “สถานที่ดาษดื่นพื้นเพ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้ามีอิทธิพลในเขตหนานโจวแห่งนี้ เหตุใดถึงไม่เสาะหาสถานที่ชัยภูมิมงคลสักแห่งให้ตนเล่า กลับมาพำนักอยู่ในป่าดงกันดารเช่นนี้ ออกจะไม่เป็นธรรมต่อเจ้าสำนักกงซุนเกินไปหน่อยกระมัง?”
กงซุนปู้ชี้ไปยังคฤหาสน์กระท่อมฟางที่มองเห็นผ่านหน้าต่างได้ “มีโคลงคู่บทหนึ่งอยู่ในคฤหาสน์ของเต้าเหยี่ย เขียนเอาไว่ว่า สูงต่ำมิอาจวัดบรรพต เซียนปรากฏย่อมเรืองนาม ลึกตื้นมิอาจประเมินชลธาร มังกรล่องผ่านย่อมเลื่องลือ พำนักอยู่ที่ใดไม่สำคัญ สำคัญที่ความมั่นคง จะบอกว่าไม่เป็นธรรมได้อย่างไรเล่า?”
“สูงต่ำมิอาจวัดบรรพต เซียนปรากฏย่อมเรืองนาม ลึกตื้นมิอาจประเมินชลธาร มังกรล่องผ่านย่อมเลื่องลือ…” ไป๋หลี่เจี๋ยพึมพำแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ทอดสายตามองไปทางคฤหาสน์ “วาจาแฝงด้วยปรัชญา กระท่อมฟางอย่างนั้นหรือ แม้นามจะสามัญ แต่กลับคล้องจองกับท่อนที่ว่าสูงต่ำมิอาจวัดบรรพต ลึกตื้นมิอาจประเมินชลธาร ในโลกบำเพ็ญเพียร ณ ปัจจุบันนี้ มีใครบ้างจะไม่รู้จักคฤหาสน์กระท่อมฟางแห่งจังหวัดชิงซาน ได้ยินชื่อเสียงของคฤหาสน์กระท่อมฟางมาช้านาน ไม่ทราบว่ากงซุนซยงพอจะพาข้าเข้าไปเยี่ยมชมได้หรือไม่? ”
กงซุนปู้ส่ายหน้า “เกรงว่าคงต้องทำให้ไป๋หลี่ซยงผิดหวังแล้ว คฤหาสน์กระท่อมฟางเป็นสถานที่สำคัญของจังหวัดชิงซาน และกล่าวได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญของทั้งมณฑลหนานโจวด้วย คนนอกไม่อาจเข้าไปส่งเดชได้ ข้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะพาคนนอกเข้าไปได้เช่นกัน”
ไป๋หลี่เจี๋ยเอ่ยด้วยความเสียดาย “มาถึงแล้วแต่ยากจะเข้าไปได้ น่าเสียดายนัก”
กงซุนปู้ไม่สนิทกับเขา ไม่อยากจะยืดเยื้อกับเขาต่อไปอีกจึงลองถามหยั่งเชิงดู “ไม่ทราบว่าไป๋หลี่ซยงมาหาถึงที่นี่มีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”
ไป๋หลี่เจี๋ยกวาดตามองรอบข้างเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อที่อยู่ใต้หน้าต่างคราหนึ่ง แสดงป้ายคำสั่งที่ดูคล้ายทำขึ้นจากหยกขาวชิ้นหนึ่งให้เห็น บนป้ายมีลวดลายคล้ายเมฆหมอกลอยอวล ลึกเข้าไปในม่านเมฆหมอกมีหมู่อาคารปรากฏเลือนสลัว
ทันทีที่เห็นลวดลายบนป้ายคำสั่ง คำว่า ‘หอเลือนสลัว’ ผุดขึ้นมาในหัวของกงซุนปู้ทันที ม่านตาหดตัวในทันใด มองคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ไป๋หลี่เจี๋ยยื่นป้ายคำสั่งในมือให้ สื่อว่าให้เขารับไปตรวจสอบดู
ความคิดสารพัดอย่างประเดประดังเข้ามาในหัวกงซุนปู้ สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปอย่างยากลำบาก รับป้ายคำสั่งนั้นมาถือ
หลังจากถูปลายนิ้วลูบไล้ไปตามลวดลายบนป้ายซ้ำๆ ถ่ายเทพลังปราณเข้าไปตรวจสอบดู พลันรับรู้ได้ถึงกระแสปราณทรงพลังยากจะอธิบายได้สายหนึ่งที่แฝงอยู่ภายใต้การห่อหุ้มของป้ายคำสั่ง ทำให้จิตใจคนสั่นสะท้าน กระแสปราณนี้ไม่อาจปลอมแปลงกันได้ เนื่องจากร่ำลือกันว่าป้ายคำสั่งนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมังกรศักดิ์สิทธิ์ สร้างขึ้นจากกระดูกมังกรของจริง
ซึ่งนี่ก็แปลว่าป้ายคำสั่งที่ไป๋หลี่เจี๋ยมีอยู่นี้เป็นของจริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า