ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 70

ตอนที่ 70 ในวังตัดสินใจแล้ว

ทำเนียบโอสถทองที่ว่าถูกจัดทำขึ้นมาโดยหอหิมะเหมันต์แห่งโลกบำเพ็ญเพียร ชื่ออย่างเป็นทางการคือ แปดร้อยโอสถทอง นามสะท้านโลกา!

ในเมื่อเป็นทำเนียบโอสถทอง เช่นนั้นก็ย่อมต้องสื่อถึงผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุถึงระดับโอสถทอง ความจริงแล้วในโลกบำเพ็ญมีผู้ที่บรรลุถึงระดับโอสถทองมากกว่าแปดร้อยคน แต่มีรายชื่อติดทำเนียบแค่แปดร้อยคนเท่านั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองแปดร้อยคนนี้ก็ไม่ได้ครอบครองตำแหน่งบนทำเนียบไปตลอด รายชื่อบนทำเนียบเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่นหากมีคนเอาชนะใครสักคนบนทำเนียบได้ก็จะขึ้นมาแทนที่คนๆ นั้น หรือหากมีบางคนสิ้นชีพลงย่อมถูกลบชื่อออกไป

มีคนจำนวนมากที่ดูแคลนทำเนียบโอสถทองนี้ เนื่องจากลำดับรายชื่อนี้มิได้ถูกต้องตามนั้นไปเสียทั้งหมด กระบวนการในการจัดลำดับถูกคนวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองบางส่วนรักสันโดษไม่อยากเผยนาม ประมือกับผู้อื่นน้อยยิ่ง พลังที่แท้จริงเป็นอย่างไรไม่มีผู้ใดทราบ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองบางส่วนเอาชนะแล้วไม่อวดอ้าง พ่ายแพ้ไม่ปริปาก ขอถามว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ จะรับประกันความยุติธรรมของทำเนียบรายชื่อได้อย่างไร?

แปดร้อยโอสถทอง นามสะท้านโลกา! สุดท้ายก็ยังเป็นนามสะท้านโลกาจริงๆ ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ จะยอมรับหรือไม่ ทว่าก็ไม่มีผู้ใดในโลกทราบถึงเรื่องความต่างชั้นในด้านพลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองเหล่านั้นอย่างละเอียดได้อยู่ดี ชนชั้นสูงที่กุมทรัพยากรอยู่ในมือเหล่านั้นย่อมต้องทำการคัดเลือกคนโดยดูจากรายชื่อบนทำเนียบ จัดหาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรให้ จ้างยอดฝีมือที่มีชื่อบนทำเนียบโอสถมาเป็นฝ่าซือติดตาม คอยดูแลคุ้มครองเรื่องความปลอดภัยหรือไม่ก็จัดการเรื่องอื่นๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่มีชื่อติดทำเนียบย่อมต้องอยู่ไม่เป็นสุข เพราะมักจะมีคนมาหาเรื่องท้าประลองอยู่เป็นประจำ คนส่วนใหญ่ที่วิ่งแจ้นมาท้าประลองล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ขาดแคลนทรัพยากรบำเพ็ญเหล่านั้น คนที่เป็นฝ่ายมาท้าสู้ก็อับจนหนทางเช่นกัน ถึงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองเหมือนกัน แต่ราคาที่ผู้ว่าจ้างจ่ายให้ในการว่าจ้างกลับไม่เหมือนกัน ถ้านำมาเปรียบเทียบกันแล้ว มันก็เหมือนการนำของชนิดเดียวกันออกวางขายพร้อมกัน ของชิ้นหนึ่งบรรจุหีบห่องามวิจิตรผลิตจากร้านค้าที่โด่งดังมีชื่อเสียง อาจขายได้ในราคาสิบเหรียญทอง แต่ของอีกชิ้นวางขายบนแผงลอยริมถนนไม่ได้บรรจุหีบห่อ อาจขายได้ราคาเพียงหนึ่งเหรียญทองเท่านั้น เหตุใดของชนิดเดียวกันถึงมีราคาต่างกันถึงเพียงนี้เล่า?

เมื่อนำมาใช้กับคนมันก็เป็นหลักเหตุผลเดียวกัน แม้เจ้าจะบอกว่าสินค้าของเจ้ามีคุณภาพเหมือนกันหรือว่าดีกว่าของที่มีตราร้านค้าก็ไม่มีประโยชน์ ผู้ว่าจ้างไม่ยอมรับ เจ้าบอกว่าเหมือนกันก็คือเหมือนกันอย่างนั้นหรือ? เจ้าบอกว่าดีกว่าก็ดีกว่าเลยอย่างนั้นหรือ? พิสูจน์ให้ข้าเห็นสิ เจ้าจงไปลองเอาชนะยอดฝีมือบนทำเนียบโอสถสักคนสิ! อ้อมวนไปมา สุดท้ายก็ต้องไปประลองกันสักยกอยู่ดี แล้วไยต้องไปขายขี้หน้าผู้ว่าจ้างด้วยเล่า มิสู้ไปท้าประลองก่อนเลยดีกว่า พอมีชื่อติดทำเนียบแล้วค่อยว่ากันอีกที

แน่นอน หากผู้มีชื่อติดทำเนียบมีสำนักหนุนหลังอยู่ โดยทั่วไปมักจะไม่มีใครกล้าไปท้าสู้ เว้นแต่เจ้าจะสามารถเอาชนะคนเขาทั้งสำนักได้ มิเช่นนั้นถึงวันนี้เจ้าจะติดทำเนียบได้ แต่วันหน้าก็อาจถูกคนรุมสังหารอยู่ดี และตามปกติแล้วผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองที่มีสำนักหนุนหลังอยู่ก็จะไม่ไปท้าผู้อื่นประลองเช่นเดียวกัน ในเมื่อมีสำนักคอยจัดหาทรัพยากรให้อยู่แล้ว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปหาเรื่องใส่ตัวทำเรื่องที่ไม่จำเป็นอย่างการไปท้าสู้กับคนที่ไม่มีสำนักหนุนหลังพวกนั้นเลย แล้วก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องไปท้าสู้พวกคนที่มีสำนักหนุนหลังด้วย เพราะการทำแบบนั้นจะก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างสองสำนักขึ้นได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำเนียบโอสถย่อมต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าประเมินไม่ครอบคลุมรอบด้าน แต่หอหิมะเหมันต์ก็เคยพูดไว้แล้ว หากเจ้าคิดว่ามีคนใดบนทำเนียบไม่เหมาะสม อย่างนั้นก็งัดเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาวัดกันดีกว่า แต่จะมีใครอยากหาเรื่องใส่ตัว ไปเที่ยวป่าวประกาศว่าใครใครใครบนรายชื่อนั้นมีดีแต่ชื่อบ้างล่ะ? ทำเช่นนี้ก็ยิ่งเป็นการเร่งผูกความแค้นสร้างศัตรูมิใช่หรือ?

คนที่ไม่พอใจย่อมกล่าวโทษเหล่าสตรีในหอหิมะเหมันต์ที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำเหล่านั้นว่าก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องหอหิมะเหมันต์เช่นกัน เพราะประมุขหอหิมะเหมันต์คือหลานสาวของแม่เฒ่าเสวี่ยซึ่งเป็นผู้อาวุโสระดับจิตทารกที่มีอยู่น้อยนิดในโลกบำเพ็ญเพียร นั่นคือหนึ่งในไม่กี่คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกบำเพ็ญเพียร ทำเนียบโอสถถูกสร้างขึ้นโดยอดีตประมุขรุ่นก่อนของหอหิมะเหมันต์ ซึ่งอดีตประมุขคือศิษย์ของแม่เฒ่าเสวี่ย

แม้แต่ผู้อาวุโสระดับจิตทารกคนอื่นยังไม่พูดถึงทำเนียบโอสถนี้เลย เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้าย่อมต้องปล่อยไปตามนั้น

ไม่มีผู้ใดอยากไปหาเรื่องหอหิมะเหมันต์ แม่เฒ่าเสวี่ยคือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร เมื่อมีผู้หนุนหลังเช่นนี้อยู่ หอหิมะเหมันต์ย่อมไม่ขาดแคลนทรัพยากรบำเพ็ญเพียร แล้วก็ไม่ขาดแคลนชื่อเสียงและผลประโยชน์ด้วย จึงไม่จำเป็นต้องไปแก่งแย่งชิงดีผูกความแค้นกับผู้ใด นับว่าค่อนข้างลอยตัวเลยทีเดียว

แต่จะว่าไปแล้ว ทำเนียบโอสถก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี จะมากจะน้อยมันก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรได้ในระดับหนึ่งอยู่ เนื่องจากมีแม่เฒ่าเสวี่ยหนุนหลัง เรื่องเส้นสายของหอหิมะเหมันต์จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึง สามารถรับข้อมูลข่าวสารทั่วหล้าที่ได้ค่อนข้างครอบคลุมรอบด้านกว่าคนทั่วไป จึงทำการประเมินแยกแยะได้ง่ายยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นบุคคลที่หนึ่งและบุคคลที่สองต่อสู้กัน ผลแพ้ชนะเป็นอย่างไร คนส่วนมากอาจจะไม่ทราบ แต่หอหิมะเหมันต์กลับได้รับข้อมูลมาทำการปรับเปลี่ยนลำดับบนทำเนียบโอสถแล้ว คนจำนวนไม่น้อยยังคงต้องดูทำเนียบโอสถถึงจะรู้ได้ว่าผู้ใดต่อสู้กับผู้ใด

ส่วนที่ว่าเหตุใดถึงไม่สร้างทำเนียบลำดับของผู้บำเพ็ญเพียรระดับจิตทารก ระดับสร้างฐานหรือระดับหลอมปราณด้วย นั่นก็เป็นเพราะว่าหอหิมะเหมันต์ไม่กล้าไปประเมินตัดสินผู้บำเพ็ญเพียรระดับจิตทารก ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานและระดับหลอมปราณที่อยู่ต่ำลงไปก็มีมากมายดั่งขนวัว จะไปประเมินหยั่งวัดอย่างไรไหว

เมื่อเห็นเนื้อความในสารลับ ลู่เซิ่งจงยิ้มเฝื่อนพลางเอ่ยว่า “กระทั่งไป๋เหยายอดฝีมือทำเนียบโอสถก็ยังออกโรงด้วยตัวเอง เฟิ่งหลิงปอให้ความสำคัญกับจวิ้นอ๋องตกอับคนนี้มากจริงๆ”

อันเสี่ยวหมานลูบคาง เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างฉงนเช่นกัน “ถูกต้อง เฟิ่งหลิงปอผู้นี้ให้ความสำคัญกับซางเฉาจงมากเกินไปแล้ว ไม่เพียงแต่ยกธิดาให้แต่งด้วย แต่ยังส่งไป๋เหยาไปคุ้มกันอีก มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือ? คิดๆ ดูแล้วก็มีคำอธิบายเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนอดีตหนิงอ๋องคนนั้นจะมีอิทธิพลต่อเฟิ่งหลิงปอไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วทางสำนักหยกสวรรค์นี่มันยังไงกันล่ะ? หนิงอ๋องมีอิทธิพลต่อสำนักหยกสวรรค์มากขนาดนี้เชียวหรือ? ไม่เข้าใจเลย…” เขาส่ายหน้า ท่าทางใช้ความคิด จากนั้นก็เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ลู่ ข้าแนะนำให้ท่านพิจารณาเรื่องนี้ดูอีกทีเถอะ!”

ลู่เซิ่งจงทอดถอนใจ “สำนักเบญจคีรีของพวกเรามิใช่สำนักใหญ่โตอันใด ตัดสินใจโดยพลการไม่ได้ ได้แต่อิงแอบหาที่พึ่ง อาจถูกเข้าแทนที่ได้ตลอดเวลา ในเมื่อหวังเหิงต้องการเช่นนี้ ข้าจะทำอย่างไรได้? หากไม่สามารถมอบคำอธิบายให้เขาได้ ด้วยเส้นสายของหวังเหิง อาจสลัดสำนักเบญจคีรีของพวกเราทิ้งได้ทุกเมื่อ ผลกระทบไม่ได้ตกอยู่ที่ข้าแค่คนเดียว!”

อันเสี่ยวหมานได้ฟังก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด เป็นจริงดั่งว่า ยังไม่ต้องว่ากันถึงเรื่องอื่น หวังเหิงและโจวโส่วเสียนผู้ว่าจ้างของตนล้วนเป็นผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์ หากทำให้หวังเหิงไม่พอใจขึ้นมา เขาก็พร้อมบอกกล่าวกับทางโจวโส่วเสียนได้ตลอดเวลา โจวโส่วเสียนไม่มีทางล่วงเกินหวังเหิงที่อยู่ทางเมืองหลวงเพื่อศิษย์ของสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างเขาแน่นอน แม้แต่ตัวเขาก็อาจถูกเฉดหัวไปจากข้างกายโจวโส่วเสียนได้เช่นกัน เกรงว่าสำนักใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลต่อทางผู้ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์เหล่านั้นก็คงไม่ช่วยพูดให้พวกเขา สำนักเล็กๆ ที่สามารถเข้ามาแทนที่พวกเขาได้มีอยู่มากมายก่ายกอง

“แต่เรื่องนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย อย่าว่าแต่ศิษย์พี่เลย ต่อให้สำนักเบญจคีรีของพวกเราออกโรงพร้อมกัน เกรงว่าคงสู้ไป๋เหยาที่ตัวคนเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ ไป๋เหยาเคยเอาชนะคนทั้งสำนักแห่งหนึ่งได้ด้วยตัวคนเดียวเลยนะ!” อันเสี่ยวหมานถอนหายใจเบาๆ

ลู่เซิ่งจงเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ “จะทำสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวคน ในเมื่อเอาชนะด้วยพลังไม่ได้ ก็ต้องหาทางจัดการโดยใช้ปัญญา!” เขายกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอก กระแทกจอกลงบนโต๊ะ อดสบถไม่ได้ “มารดาเถอะ ไอ้หนิวโหย่วเต้าอะไรนั่นควรชื่อหนิวโหย่วปิ้ง[1]มากกว่า ฆ่าใครไม่ฆ่า ดันไปฆ่าซ่งเหยี่ยนชิง รู้ทั้งรู้ว่าซ่งเหยี่ยนชิงมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นก็ยังกล้าไปหาเรื่อง…”

……

ณ เมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ภายในห้องโถงหลักจวนเจ้ากรมโยธา ซ่งจิ่วหมิงเร่งเดินเข้าไปทำความเคารพถงมั่วที่นั่งอยู่อย่างนอบน้อม

ถงมั่วโบกมือไล่คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถงออกไป ลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะยาว เดินไปหยุดใต้ชายคานอกประตู

ซ่งจิ่วหมิงติดตามอยู่ข้างๆ อย่างเงียบงัน รอฟังคำสั่ง

จู่ๆ ถงมั่วที่เงียบไปครู่ใหญ่พลันเอ่ยขึ้นมาว่า “ในวังตัดสินใจแล้ว กำจัดซางเฉาจงซะ ในเมื่อพวกเราไม่ได้ ก็ไม่อาจปล่อยให้ตกอยู่ในมือของเฟิ่งหลิงปอได้”

“…..” ซ่งจิ่วหมิงตะลึงไปเล็กน้อย “เฟิ่งหลิงปอไหนเลยจะยอมรามือ?”

ถงมั่วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเกรงว่าทางเฟิ่งหลิงปอจะทำข่าวรั่วออกไป หรือทางเฟิ่งหลิงปอจะไม่กลัวทางฝ่าบาททำข่าวรั่วออกไปเช่นกัน สิ่งเดียวที่ต่างกันคือ ฝ่าบาทคำนึงถึงแคว้นเยี่ยนทั้งแคว้น ไม่อยากให้แคว้นเยี่ยนมีศึกรุมเร้าทั้งนอกในจนศัตรูฉวยโอกาสได้ แต่ทางเฟิ่งหลิงปอกลับไม่กังวลในจุดนี้เลย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าคนเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้า ด้วยเหตุนี้เฟิ่งหลิงปอจึงไม่หวาดกลัวอะไร หากสามารถกำจัดซางเฉาจงทิ้งได้ในคราวเดียว อย่างมากก็แค่มอบผลประโยชน์เอาใจเฟิ่งหลิงปอสักหน่อย เขาเองก็ไม่สูญเสียอะไรเช่นกัน แต่หากพลาดท่า เฟิ่งหลิงปอเองก็ไม่กล้าตอบโต้กลับมารุนแรงมากนัก เพราะหากความลับเรื่องนั้นหลุดออกไปก็ไม่มีผลดีอะไรต่อตัวเขาเช่นกัน แต่ฝ่าบาทก็จะไม่กล้าบีบคั้นเขาเป็นครั้งที่สองอีก”

ซ่งจิ่วหมิงใคร่ครวญดูพลางพยักหน้าเล็กน้อย เข้าใจความหมายในคำพูด ทันทีที่ทำให้เฟิ่งหลิงปอเข้าใจผิดคิดว่าฝ่าบาทจะนำจุดอ่อนนั้นมาโจมตีเขาซ้ำๆ เฟิ่งหลิงปอย่อมทนไม่ไหว แล้วก็ไม่สามารถยอมทนรับได้ ทันทีที่เขาพบว่าสิ่งนั้นไม่มีผลในการคุกคามกดดันฝ่าบาท เขาจะต้องสู้อย่างสุนัขจนตรอกแน่ แคว้นเยี่ยนยากจะแบกรับผลกระทบนี้ไหว ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยเนิบๆ ว่า “ดังนั้นมีโอกาสลงมือแค่ครั้งเดียว!”

ถงมั่วพยักหน้ารับ “ใช่ มีโอกาสแค่ครั้งเดียว…”

….

ณ จวนผู้ตรวจว่ามณฑลหนานโจว บนหอสูงที่อยู่ระหว่างศาลาริมท่าน้ำ โจวโส่วเสียนที่ในอาภรณ์ผ้าดิ้นคาดเข็มขัดหยกยืนพิงราวกั้น ลูบเคราพลางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

ชายฉกรรจ์เคราดกที่สวมชุดเขียวคนหนึ่งเร่งก้าวขึ้นมาบนหอสูง เดินไปหยุดข้างกายโจวโส่วเสียนพลางประสานมือคำนับ “ท่านผู้ว่าการมณฑลเรียกพบข้า ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?”

โจวโส่วเสียนลดมือลง ยกมือไพล่หลังเดินกลับเข้าไปด้านใน “เหยียนตั๋ว มีเรื่องบางอย่างให้จัดการ!”

ชายฉกรรจ์ชุดเขียวเดินตามไป “ท่านผู้ว่าการมณฑลสั่งมาได้เลยขอรับ!”

โจวโส่วเสียนเอ่ยเสียงขรึม “ฝ่าบาทมีราชโองการ เก็บซางเฉาจงไว้ไม่ได้ ต้องการให้ข้ากำจัดเขาทิ้ง!”

เหยียนตั๋วเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ได้ยินว่าซางเฉาจงกลายเป็นเขยของเฟิ่งหลิงปอแล้ว หากลงมือกับเขา นั่นมิเท่ากับต้องเปิดศึกใหญ่โตหรือขอรับ? ด้วยสถานการณ์ของแคว้นเยี่ยนในยามนี้ หากปะทะแตกหักกับเฟิ่งหลิงปอดูจะไม่เป็นผลดีกระมัง หากทางนี้เคลื่อนทัพ เกรงว่ากองกำลังอิสระอื่นๆ จะแห่เคลื่อนพลด้วย สะเก็ดไฟเล็กๆ อาจจะกลายเป็นไฟลามทุ่ง ประกอบกับแคว้นศัตรูรอบข้างก็จับจ้องตาเป็นมันอยู่ มีความเป็นไปได้สูงที่จะฉวยโอกาสรุกคืบเข้ามา รูปการณ์เช่นนี้ ทำเช่นนี้จะเหมาะสมหรือขอรับ?”

โจวโส่วเสียนหยุดเดิน “ก็เพราะไม่อยากแตกหักกับเฟิ่งหลิงปอ ฝ่าบาทถึงมีราชโองการลับลงมาว่าให้จัดการซางเฉาจงอย่างเงียบๆ ข้าถึงได้ตามตัวเจ้ามา!”

เหยียนตั๋วถามหยั่งเชิง “ลอบสังหาร?”

โจวโส่วเสียนไม่ปฏิเสธ ซ้ำยังเอ่ยเสริมว่า “ข้าเพิ่งได้รับข้อมูลมาเมื่อครู่ คณะของซางเฉาจงเข้าเขตจังหวัดชิงซานมาแล้ว มีทหารม้าติดตามหนึ่งพันนาย ทหารราบสี่พันนาย ทั้งยังมีผู้บำเพ็ญเพียรสามสิบคนที่สำนักหยกสวรรค์ส่งมาคุ้มกันด้วย ผู้นำกลุ่มคือไป๋เหยาแห่งสำนักหยกสวรรค์!”

“ไป๋เหยา?” เหยียนตั๋วผงะไปแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเจื่อนพลางกล่าวขึ้นมาทันทีว่า “ไป๋เหยาคือหนึ่งในผู้กล้าแห่งสำนักหยกสวรรค์ ยอดฝีมือมีชื่อติดทำเนียบโอสถ เคยถล่มสำนักแห่งหนึ่งด้วยตัวคนเดียว ซ้ำยังมีกองหนุนจากสำนักเดียวกันอีกสามสิบคน ต่อให้ใช้ทหารม้าหลายพันนายเข้าปิดล้อมโจมตีก็เหมือนตกหล่มโคลนอยู่ดี ท่านผู้ว่าการมณฑล ขออภัยที่ข้าต้องพูดตรงๆ สถานการณ์เช่นนี้หากต้องการปลิดชีพเป้าหมายให้ได้ หากไม่ใช่ยอดฝีมือระดับจิตทารกแล้ว เช่นนั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือสิบลำดับแรกในทำเนียบโอสถถึงจะพอเป็นไปได้ ”

โจวโส่วเสียนกล่าวว่า “ยอดฝีมือระดับจิตทารกไม่ยุ่งเรื่องทางโลก ต่อให้ฝ่าบาทออกหน้าเชื้อเชิญก็ยังไม่แน่ว่าจะเชิญมาได้ ส่วนยอดฝีมือสิบลำดับแรกในทำเนียบโอสถก็ไม่มีทางยอมเข้ามายุ่งเรื่องนี้ส่งเดช สำหรับคนของสำนักอื่นๆ เพียงเห็นชื่อสำนักหยกสวรรค์ก็หวาดผวา ไม่กล้าเปิดศึกกับอีกฝ่ายด้วยง่ายๆ”

เหยียนตั๋วกระจ่างแล้ว ดังนั้นถึงได้เรียกหาผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างเขา เขาถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ท่านผู้ว่าการมณฑล มิใช่ว่าข้าคิดจะบ่ายเบี่ยง แต่ความสามารถข้ามีจำกัด ไม่สามารถจัดการได้จริงๆ เกรงว่าจะทำลายงานใหญ่ของท่านผู้ว่าการมณฑลได้ ท่านผู้ว่าการมณฑลไปเชิญยอดฝีมือท่านอื่นเถอะขอรับ!”

………………………………………………

[1] โหย่วปิ้ง (有病) ในภาษาจีนมีความหมายว่า บ้า, ประสาท

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า