ตอนที่ 73 วัวลืมตีน
เมื่อถังอี๋กลับมา เหล่าศิษย์ที่ชุมนุมอยู่ดูเหมือนจะแยกย้ายกันไปแล้ว ทว่าหลัวหยวนกง ซูพั่วและถังซู่ซู่ยังคงรออยู่ที่เดิม
ถังซู่ซู่เห็นนางอุ้มไหสุรากลับมาจากหุบเขา สีหน้าคร่ำเคร่งลงทันที ระเบิดอารมณ์ออกมาในทันใด “เขาให้เจ้ามาหรือ?”
ถังอี๋สบตากับนาง ท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นกลับกดดันให้ถังซู่ซู่สงบลงไปไม่น้อยเลย
“นี่อาจจะเป็นสุราที่ท่านพ่อฝังไว้ในหุบเขา” ถังอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“….” ถังซู่ซู่ลังเลที่จะพูดต่อ เดิมทีนางอยากบอกให้ถังอี๋ทิ้งของที่คนผู้นั้นให้มา แต่พอได้ยินว่าอาจเป็นของที่ถังมู่เหลือทิ้งไว้ให้ นางก็พูดอะไรไม่ออก
ซูพั่วมองไปยังทิศทางที่นางจากมา ลองถามดูว่า “เจ้าสำนัก แล้วเขาล่ะ?”
ถังอี๋ถอนหายใจเบาๆ พลางกล่าวว่า “เขาไม่ยอมอยู่ จากไปแล้ว!”
ถังซู่ซู่แค่นเสียงคราหนึ่ง “ความอัปยศของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เขายังมีหน้ามาเหยียบสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกหรือ ปีนั้นหากมิใช่เพราะศิษย์พี่เจ้าสำนักออกหน้าปกป้อง เขาจะรอดชีวิตมาได้อย่างไร!”
“หยุดพูดเรื่องไร้ประโยชน์ซะ” ศิษย์พี่อย่างหลัวหยวนกงเอ่ยตำหนิ จากนั้นก็เอ่ยกับถังอี๋ว่า “เจ้าสำนัก มีเขาช่วยออกหน้าข่มขวัญให้ คาดว่าภายในช่วงนี้คงไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก สิ่งที่พวกเราต้องทำในตอนนี้คือจัดการเก็บกวาดในสำนัก ข้าส่งคนไปตามล่าศิษย์หลายสิบคนที่หลบหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่หุบเขากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้คาดว่าคงยากจะหาตัวพบภายในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งได้ถ่ายทอดคำสั่งในนามเจ้าสำนัก แจ้งให้สายสืบที่อยู่ด้านนอกคอยจับตามอง หากพบตัวให้รายงานข่าวทันที จะได้ส่งคนไปจัดการศิษย์ทรยศเหล่านี้ได้ทันท่วงที!”
ถังอี๋เอ่ยว่า “ศิษย์ทรยศเหล่านี้หนีไปก็ดีเหมือนกัน คนที่ไม่ยินดีร่วมหัวจมท้ายไปกับสำนัก เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่แน่ภายในกลุ่มนั้นอาจจะมีสายสืบจากภายนอกแฝงตัวอยู่ก็เป็นได้ พบเจอเรื่องราวเช่นนี้ มิแน่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย อาจจะเป็นความโชคดีในคราวเคราะห์ ทำให้เราได้กวาดล้างไส้ศึกจากภายนอกที่ซุกซ่อนอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ออกไป”
คำพูดนี้ทำให้สามผู้อาวุโสต่างพยักหน้ายอมรับโดยปริยาย เป็นอย่างที่นางว่ามาจริงๆ ไส้ศึกที่ภายนอกแอบจัดวางไว้ในสำนักไม่มีทางยอมร่วมหัวจมท้ายกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มีความเป็นไปได้สูงที่พอได้รับความกดดันก็จะชิงหลบหนีไปก่อน เพียงแต่ทั้งสามคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเล็กน้อยบางอย่างจากตัวถังอี๋ ปกติแล้วถังอี๋จะรอฟังความเห็นของพวกเขาสามผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่สำหรับเรื่องราวในครานี้ ถังอี๋คล้ายจะแสดงจุดยืนในฐานะเจ้าสำนักออกมาอย่างจริงจังวิเคราะห์เรื่องราวพลางเป็นฝ่ายเสนอความคิดออกมาก่อน
ถังซู่ซู่เอ่ยด้วยความชิงชัง “จะปล่อยศิษย์ทรยศเหล่านี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!”
ถังอี๋กล่าวตอบ “ศิษย์ทรยศย่อมไม่อาจปล่อยไปได้ แต่ตอนนี้มิใช่เวลามาใส่ใจเรื่องนี้ ก็เหมือนอย่างที่ผู้อาวุโสหลัวกล่าวมา คนผู้นั้นช่วยออกหน้าข่มขวัญให้ ภายในช่วงนี้น่าจะไม่มีผู้ใดกล้ามาระรานสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่ก็เป็นแค่เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นพวกเราสมควรฉวยโอกาสนี้จัดการเรื่องที่สมควรทำ เรียกตัวเหล่าศิษย์ที่ส่งออกไปไล่ล่ากลับมาเถอะ ส่วนศิษย์ทรยศเหล่านั้น สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเราจะป่าวประกาศต่อโลกบำเพ็ญเพียร เปิดโปงศิษย์ทรยศเหล่านี้ ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาฉาวโฉ่ ทำให้พวกเขาตั้งตัวในโลกบำเพ็ญเพียรได้ยากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นค่อยหาโอกาสสะสางในภายหลังก็ยังไม่สาย ส่วนเรื่องของซ่งซู ข้าขอประกาศในฐานะเจ้าสำนัก ซ่งซูบงการบุตรชายตนไปลอบสังหารหนิวโหย่วเต้าศิษย์ร่วมสำนัก ทว่าทำไม่สำเร็จ จึงโยนความผิดมาให้สำนัก ซ้ำยังสมคบคิดกับสำนักเซียนสถิตโจมตีสำนัก คัดชื่อลงบัญชีศิษย์ทรยศที่คิดล้างครูล้มสำนัก ให้ผู้คนทั่วหล้าต่างรังเกียจเขา”
“…..” สามผู้อาวุโสตกตะลึง
คัดชื่อซ่งซูลงบัญชีศิษย์ล้างครูล้มสำนักอย่างนั้นหรือ? แต่ทั้งสามกลับรู้สึกว่าสมควรแล้ว ที่บอกว่าสมคบสำนักเซียนสถิตล้มล้างสำนักก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย อาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็เป็นได้ ทว่าเรื่องสังหารหนิวโหย่วเต้า เห็นๆ อยู่ว่าเป็นถังซู่ซู่ที่บงการซ่งเหยียนชิง ตอนนี้กลับโยนความผิดให้ซ่งซู นี่คือการปรักปรำกันชัดๆ! แต่พอมีเรื่องการโจมตีจากสำนักเซียนสถิต ผนวกกับทางนี้ออกประกาศตัดหน้า ชิงข่มขวัญศัตรูก่อน เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเชื่อถือคำโต้แย้งจากซ่งซูอีก
นี่กลับเป็นแผนการที่ดี ซ้ำยังช่วยให้ถังซู่ซู่รอดตัวด้วย หากภายหน้ามีข่าวลือว่าถังอี๋ใช้อุบายชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมา ผู้คนก็จะพากันคิดว่าตระกูลซ่งกำลังปล่อยข่าวลือเพื่อแก้แค้น กลยุทธ์ ‘ชิงข่มขวัญ’ นี้ยอดเยี่ยมนัก!
แต่วิธีนี้กลับทำให้ถังซู่ซู่ทำกระอักกระอ่วนเล็กน้อย สายตาที่มองถังอี๋อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด พบว่าหลานสาวของตนก็ยังคงเป็นหลานสาวของตนอยู่วันยันค่ำ ไม่เสียทีที่ตนทุ่มเทผลักดันให้ได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก สุดท้ายก็ยังคำนึงถึงย่าเล็กอย่างนางอยู่ สุดท้ายก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ดี!
พอกล่าวมาถึงตรงนี้ ทั้งสามล้วนตระหนักได้ว่าคำพูดคำจาของถังอี๋เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
หลัวหยวนกงใคร่ครวญดูพลางเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก วิธีนี้ยอดเยี่ยมนัก เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเราแตกหักกับทางตระกูลซ่งอย่างเด็ดขาดแล้ว ตระกูลซ่งสามารถแก้แค้นอย่างเปิดเผยได้ นับจากนี้เกรงว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงตั้งหลักในแคว้นเยี่ยนได้ยากกว่าเดิม”
“ข้าตัดสินใจแล้ว!” ถังอี๋เงยหน้ามองไปทางวังสวรรค์พิสุทธิ์ แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางอุ้มไหสุราพลางเดินปลีกตัวออกมาจากคนทั้งสาม เอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง “ข้าจะจุดธูปสักการะปฐมจารย์!”
จุดธูปสักการะบรรพจารย์หรือ? สามผู้อาวุโสตกตะลึงอีกครั้ง มองหน้ากันเหลอหลา ทำได้เพียงเดินตามไป การจุดธูปสักการะปฐมจารย์ มิว่าจะกระทำยามไหนก็ล้วนมิใช่เรื่องเกินเหตุ ผู้ใดก็ไม่อาจปฏิเสธได้
พวกเขามาที่วังสวรรค์พิสุทธิ์ ถังอี๋วางไหสุราไว้ด้านข้าง เดินไปหยุดอยู่ตรงด้านหน้ารูปปั้นปฐมจารย์ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งใจกลางวัง จุดธูปสามดอก จากนั้นถอยหลังออกมาสามก้าว เงยหน้ามองรูปปั้นที่อยู่ในท่านั่งสมาธิ มองเงียบๆ ไม่พูดอะไร
สามผู้อาวุโสต่างเข้าไปจุดธูปเช่นกัน จากนั้นกลับไปยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังถังอี๋ เงยหน้ามองรูปปั้นปฐมจารย์เช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า