ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 74

ตอนที่ 74 รื้อสะพานหลังข้ามแม่น้ำ

สวามิภักดิ์ต่อเซ่าเติงอวิ๋นหรือ? ทั้งสามตกตะลึงถ้วนหน้า

ถังอี๋เอ่ยต่อว่า “เซ่าเติงอวิ๋นเดิมทีเป็นคนของหนิงอ๋อง เป็นอดีตแม่ทัพใต้บัญชาหนิงอ๋อง ในอดีตก็เคยไปมาหาสู่กับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เรา จนใจที่ราชสำนักกวาดล้างกองกำลังของหนิงอ๋อง บีบให้เซ่าเติงอวิ๋นจำเป็นต้องหันไปสบคบกับแคว้นศัตรู นำทางทัพใหญ่ของศัตรูบุกทะลวงเข้าสู่หัวเมืองของแคว้นเยี่ยน ยามนี้ถึงเซ่าเติงอวิ๋นจะกลายเป็นกบฏขายชาติไปแล้ว แต่เขตพื้นที่ที่เขาปกครองก็คือมาตุภูมิดั้งเดิมของแคว้นเยี่ยน หากเทียบกันดูแล้ว สถานะตำแหน่งในแคว้นหานของเซ่าเติงอวิ๋นก็ค่อนข้างเป็นมีอิสระ สำนักนิกายที่หนุนหลังเขาเองก็เคยเป็นสำนักบำเพ็ญเพียรในแคว้นเยี่ยนเช่นกัน หากพวกเราไปสวามิภักดิ์ จะได้รับการยอมรับค่อนข้างง่าย อีกอย่าง เซ่าเติงอวิ๋นเพิ่งยึดครองเขตพื้นที่ใหม่ที่ใหญ่โตกว้างขวาง เพิ่งจะขยายกองกำลังไพร่พลจำนวนมาก จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถไว้ใจได้ ส่วนสถานการณ์ของพวกเราเซ่าเติงอวิ๋นก็น่าจะทราบดี ประกอบกับในอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็มีไมตรีกับเขาอยู่บ้าง ข้าคิดว่าถ้าพวกเราไปสวามิภักดิ์ มีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะถูกรับตัวไว้!”

ถังซู่ซู่ผงะไปแวบหนึ่ง จากนั้นก็ชี้หน้านางทันที กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ผู้ใดสั่งให้เจ้าทำเช่นนี้? เป็นไอ้ศิษย์ทรพีแซ่จ้าวใช่หรือไม่ที่สั่งสอนเจ้าเช่นนี้?”

หลัวหยวนกงและซูพั่วขมวดคิ้วคิดวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ตามที่ถังอี๋พูด เมื่อได้ยินวาจานี้ก็พากันเงยหน้ามองไปที่ถังอี๋เช่นกัน ต่างมีสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย เมื่อได้รับการเตือนสติจากถังซู่ซู่ พวกเขาล้วนคลางแคลงอยู่บ้างว่าจะใช่การชี้นำของคนบนยอดเขาภูตมารผู้นั้นหรือไม่ เนื่องจากวันนี้พฤติกรรมของเจ้าสำนักแปลกพิกลไปจากปกติ

ถังอี๋ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสถังคิดมากไปแล้ว มิมีผู้ใดชี้นำทั้งสิ้น ข้าตระหนักได้ด้วยตัวเอง ข้ามีความคิดเช่นนี้มานานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยพูดออกมาเท่านั้น”

ถังซู่ซู่สะบัดมือคราหนึ่ง “เป็นไปไม่ได้! ข้าเห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็ก เจ้าไม่มีทางกระทำเรื่องเยี่ยงวัวลืมตีนเช่นนี้แน่นอน นี่กลับเหมือนนิสัยของไอ้สวะแซ่จ้าวคนนั้นมากกว่า!”

ถังอี๋ถอนหายใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เนิบช้าลงหลายส่วน “ข้าทราบดีว่าเป็นเพราะการตายของท่านปู่เล็กและท่านอา ท่านถึงได้เกลียดชังเขาเสมอมา อยากฆ่าเขาทิ้งใจแทบขาด แต่ข้าสามารถสาบานต่อหน้าบรรพจารย์ได้ นี่มิใช่การชี้นำของเขาแน่นอน นี่เป็นความคิดของข้าแต่เพียงผู้เดียวจริงๆ”

ใบหน้าถังซู่ซู่บิดเบี้ยวเหยเก ตวาดออกมาทันที “ข้าขอคัดค้านการละทิ้งบรรพชน!” จากนั้นหันขวับไปทันที “ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกท่านก็จะละทิ้งบรรพชนด้วยอย่างนั้นหรือ?”

‘ละทิ้งบรรพชน’ คำกล่าวหานี้ค่อนข้างร้ายแรง ทำให้หลัวหยวนกงและซูพั่วอึกอักลังเล

ดวงตาถังอี๋ฉายแววเด็ดเดี่ยว โต้กลับไปอย่างหัวชนฝา “ผู้อาวุโสถังโปรดสำรวมด้วย สรุปแล้วท่านเป็นเจ้าสำนัก หรือข้าเป็นเจ้าสำนักกันแน่?”

“เจ้า…” ถังซู่ซู่ชี้หน้านาง เกือบหลุดพูดประโยคหนึ่งออกมา หากมิใช่เพราะข้าหนุนเจ้าให้ได้รับตำแหน่ง เจ้าจะได้เป็นเจ้าสำนักหรือ?

ถูกนางชี้หน้า ทว่าถังอี๋กลับล้วงป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งออกมาแล้วยื่นออกไป เป็นป้ายประกาศิตเจ้าสำนัก “ในฐานะเจ้าสำนัก ข้าขอถ่ายทอดคำสั่งอย่างเป็นทางการ ปลดถังซู่ซู่ออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสคุมกฎของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ลดขั้นเป็นศิษย์คุมกฎ ตำแหน่งผู้อาวุโสคุมกฎจะตกอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าสำนัก!”

“…..” หลัวหยวนกงและซูพั่วตกตะลึงตาค้าง ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้สตรีที่งดงามนุ่มนวลอย่างถังอี๋จะแสดงโทสะออกมามากมายเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะต่อต้านถังซู่ซู่เช่นนี้ ปกติแล้วนางจะสงบเสงี่ยมว่าง่ายต่อหน้าถังซู่ซู่มาโดยตลอด

เห็นได้ชัดว่าถังซู่ซู่เองก็ตกตะลึงเช่นกัน นี่คือหลานสาวของนางอย่างนั้นหรือ? นี่น่ะหรือคนในครอบครัวที่ตนประคบประหงมอุ้มชู?

หลัวหยวนกงเอ่ยเกลี้ยกล่อม “เจ้าสำนักโปรดใจเย็นก่อน ผู้อาวุโสถังมีความคิดเป็นตัวเอง จึงแสดงความคิดเห็นของตนออกมาในฐานะคนในครอบครัว แค่ให้เจ้าสำนักได้พิจารณาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้เลย เจ้าสำนักโปรดถอนคำสั่งด้วยเถอะ”

ดวงตาของถังอี๋หมุนมา สายตาจ้องมองมาทางเขา ชูป้ายคำสั่งเจ้าสำนักใส่เขาเช่นกัน “ผู้อาวุโสหลัว ไม่ทราบว่าคำสั่งจากตัวข้าที่ครอบครองป้ายประกาศิตเจ้าสำนักยังมีผลอยู่หรือไม่”

หลัวหยวนกงเอ่ยปลอบด้วยสีหน้าโอนอ่อน “มีผลแน่นอน เพียงแต่เรื่องนี้ไม่อาจวู่วามตัดสินใจได้”

ถังอี๋ตอบโต้ “ในเมื่อมีผล เช่นนั้นหากว่ากันตามกฎสำนัก เจ้าสำนักก็มีอำนาจดำเนินการทุกอย่างได้โดยไม่ต้องฟังผู้ใด หากทุกคนคิดว่าเจ้าสำนักทำไม่ถูก สมาชิกทั้งหมดในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์สามารถรวมตัวถอดถอนเจ้าสำนักได้ ขอเพียงมีคนเห็นชอบเกินแปดส่วน ก็สามารถหาคนมารับตำแหน่งเจ้าสำนักแทนข้าได้ แต่ตอนนี้ข้ายืนยันจะใช้ประกาศิตเจ้าสำนัก ปลดถังซู่ซู่ออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสคุมกฎ หากผู้ใดคิดว่าข้าทำไม่ถูก ก็ให้ปฏิบัติตามกฎสำนัก เรียกรวมศิษย์ทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาร่วมถอดถอนเจ้าสำนักได้ ข้าไม่ขัดขืนแน่นอน! ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางยกเลิกคำสั่งนี้ จะปลดถังซู่ซู่ออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสคุมกฎ หรือจะปลดข้าออกจากตำแหน่งเจ้าสำนัก ก็ให้เหล่าศิษย์ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นผู้ตัดสินใจแล้วกัน!”

ใบหน้าของหลัวหยวนกงและซูพั่วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าวันนี้สตรีที่งดงามอ่อนหวานจะดุดันขึ้นมาถึงเพียงนี้ ใช้ตำแหน่งเจ้าสำนักบีบบังคับปลดถังซู่ซู่ออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสคุมกฎ ทุ่มสุดตัวเลยจริงๆ! ถึงแม้ท่านปฐมจารย์จะบัญญัติกฎสำนักให้ชนรุ่นหลังถอดถอนเจ้าสำนักได้ แต่นั่นก็เพื่อป้องกันมิให้ใครคนใดคนหนึ่งก่ออันตรายต่อทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ อีกทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ยังไม่เคยถอดถอนเจ้าสำนักมาก่อน กฎถอดถอนเจ้าสำนักนี้ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล หากมีคนในสำนักต่อต้านเจ้าสำนักเกินแปดส่วน ก็แปลว่าเจ้าสำนักคนนั้นไม่ได้รับความไว้วางใจแล้ว รั้งตำแหน่งต่อไปก็ไม่มีทางนำพาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้ก้าวหน้าได้ ไม่สู้เปลี่ยนคนเสียดีกว่า

แต่พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าสำหรับถังอี๋แล้ว นางตระหนักได้นานแล้วว่าถังซู่ซู่เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการควบคุมสำนักของนาง แต่ว่ามีเรื่องราวบางอย่างที่ก่อนหน้านี้นางไม่มีความกล้าพอจะจัดการ เพราะนั่นก็คือย่าเล็กของนาง หากนางทำอะไรลงไป นางจะต้องแบกรับชื่อเสียงเยี่ยงไรบ้าง เพียงนึกดูก็พอจะรู้แล้ว เรื่องบางเรื่องนางทำได้เพียงคิดเงียบๆ อยู่ในหัวเท่านั้น จนกระทั่งได้พบคนผู้นั้น ได้ยินคำพูดของคนผู้นั้น สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ ฝืนยื้อไว้ก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ หากไม่เผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ เจ้าขึ้นเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า?

หลังจากได้ฟังคำพูดของคนผู้นั้น นางถึงตัดสินใจได้ แต่ก็ยังไม่อยากแตกหักกับถังซู่ซู่ จึงวางแผนว่าจะลองเสนอความคิดเห็นของตนออกไปก่อน หวังว่าจะโน้มน้าวถังซู่ซู่ได้ ผลคือถังซู่ซู่ไม่ยอมรับฟังเลย ยืนกรานต่อต้าน! จุดนี้ทำให้นางเห็นแจ้งแล้วว่าเรื่องบางเรื่องไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จำเป็นต้องเผชิญหน้าตรงๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะขจัดอุปสรรคกีดขวางอย่างถังซู่ซู่ออกไป ต้องกำจัดอำนาจของถังซู่ซู่เสีย!

“เยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ! ได้ ตำแหน่งผู้อาวุโสคุมกฎนี้ข้าไม่เป็นแล้วก็ได้!” ถังซู่ซู่เชิดหน้าหัวเราะอย่างน่าเวทนา ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคนที่หันดาบเข้าหาตนจะเป็นคนที่ตนไว้วางใจที่สุด ในใจโศกศัลย์เพียงใดมิมีผู้ใดล่วงรู้ นางโบกมือเอ่ยขึ้นว่า พวกเจ้าอยากไปก็ไปเลย ข้าจะอยู่ที่นี่ ข้าไม่มีทางละทิ้งบรรพชน!”

ถังอี๋จ้องมองนางจากนั้นกล่าวว่า “หากพวกเราไปกันหมดแล้ว หากมีคนมาหาเรื่องถึงที่ ท่านตัวคนดียวจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สละชีพอย่างเปล่าประโยชน์มันคุ้มกันหรือ? ย่าเล็ก ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า