ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 76

ตอนที่ 76 สมคำร่ำลือ

เหยียนตั๋วพูดไม่ออก จะให้เขาขัดขวางอีกฝ่ายไม่ให้ปฏิบัติภารกิจก็คงไม่ดี เพราะถ้าอีกฝ่ายผลักความรับผิดชอบมาให้เขาทีหลังล่ะก็ เขากลับจะลำบากเอาได้

เขาไม่ได้รู้เลยว่าก่อนที่จะมาที่นี่ เซี่ยงอู่เหรินได้รับคำสั่งโดยตรงจากทางโจวโส่วเสียนมาก่อนแล้ว

และยังไม่ทันที่เหยียนตั๋วจะได้พูดอะไรอีกครั้ง ไพร่พลของเซี่ยงอู่เหรินก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ม้าศึกที่ซ่อนไว้ในหุบเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปก็เคลื่อนตัวออกมาแล้วเช่นกัน

สี่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาสำรวจเส้นทางเหินกลับไปรายงานอย่างรวดเร็ว “มีทหารดักซุ่มอยู่ในภูเขา ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด น่าจะมีไม่น้อยขอรับ!”

มีการซุ่มโจมตีจริงๆ อย่างนั้นหรือ? เฟิ่งรั่วหนานตะลึงงัน นางกุมบังเหียนในมือ สีหน้าท่าทางแปรเปลี่ยนในทันใด เหวี่ยงทวนพลางตะโกนออกมา “ตั้งขบวน!”

ทหารม้าและทหารราบจัดขบวนทัพอย่างรวดเร็ว ตั้งโล่ขึ้นมา พลธนูหยิบลูกธนูมาขึ้นสายเตรียมพร้อม

ซางเฉาจงโบกมือส่งสัญญาณ ทหารม้าของเขาก็คว้าอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อมอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ไป๋เหยาเอียงศีรษะส่งสัญญาณไปทางศิษย์ร่วมสำนักเล็กน้อย ทั้งหมดตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างรู้ใจกัน

ผ่านไปสักพักก็มองเห็นกองทัพขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากในป่าเขาที่อยู่เบื้องหน้า สำหรับผู้ที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชนแล้ว เพียงกวาดตามองก็พอจะประเมินจำนวนคร่าวๆ ได้แล้ว ไม่น้อยกว่าหมื่นคน

เซี่ยงอู่เหรินถือหอกไว้ในมือ ควบม้าพุ่งทะยานออกมาจากในป่า นำอยู่หน้าขบวน พวกผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเหยียนตั๋วค่อยๆ ขี่ม้าตามมาอยู่ด้านหลังเขา

“เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลย ไม่หนีจริงๆ ด้วย!” เซี่ยงอู่เหรินหัวเราะฮ่าๆ จู่ๆ พลันชูทวนชี้ออกไป “ทหารม้าบุกโจมตี ทหารราบหนุนอยู่ด้านหลัง ต้องรั้งพวกเขาไว้ให้ได้!”

ทหารที่อยู่ข้างกายหยิบแตรเขาสัตว์ขึ้นมาทันที พองแก้มเป่าลมเกิดเสียงดัง ‘หวูดๆ’ ขึ้น ส่งสัญญาณโจมตี

“ฆ่า!” ผู้บัญชาการกองทหารม้าสะบัดบังเหียนตะโกนกร้าว ชั่วพริบตาเดียว อาชาศึกนับพันวิ่งห้อออกมา แปรเป็นขบวนทัพรูปหัวหอกพุ่งทะยานออกไป พื้นดินไหวสะเทือน

ด้านหลังกองทหารม้า เซี่ยงอู่เหรินควบม้าคุมกระบวนทัพเอาไว้อย่างไม่เร่งร้อน กองทหารราบจู่โจมที่ประกอบด้วยทหารเก้าพันนายติดตามรั้งท้ายขบวนโจมตี

เมื่อเห็นศัตรูเคลื่อนทัพจู่โจมเข้ามาตรงๆ คนที่ไม่เคยพบเห็นขบวนโจมตีแบบนี้ย่อมรู้สึกตื่นตระหนก ต่อให้ชาติก่อนหนิวโหย่วเต้าจะเคยผ่านโลกมามากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยเห็นฉากสงครามที่มีคนนับหมื่นต่อสู้กันด้วยอาวุธยุคโบราณมาก่อน

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรอย่างไป๋เหยาใช้ตาทิพย์สำรวจขบวนจู่โจมของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ากำลังสังเกตอันใดอยู่

เฟิ่งรั่วหนานปรายตามองซางเฉาจง เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋อง คนที่ต้องการตัวพระองค์มากันแล้ว ศัตรูมีมากกว่าพวกเรา พระองค์กลัวหรือไม่ ถ้าจะหนีก็รีบหนีไปเสียตอนนี้ หากชักช้าจะไม่ทันการนะเพคะ”

ซางเฉาจงหันขวับ จ้องมองด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว

เฟิ่งรั่วหนานเอ่ยอย่างดูแคลน “ได้กิตติศัพท์ด้านการรบของหนิงอ๋องมานานแล้ว แต่นั่นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพระองค์ ถึงคนของพระองค์จะมาขวางอยู่ด้านหน้าก็ไม่มีประโยชน์ หลบไปอยู่ด้านหลังจะดีกว่า! รีบพาคนของพระองค์ถอยออกมา อย่าเกะกะขวางทางอยู่ข้างหน้า เดี๋ยวแม่ทัพอย่างหม่อมฉันจะคอยปกป้องพระองค์เอง ไม่ต้องห่วงเพคะ!”

หนนี้มิใช่แค่ซางเฉาจงแล้ว ทหารองครักษ์ทั้งหมดล้วนมองเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน นึกถึงอดีตที่กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญสร้างชื่อเสียงก้องหล้า นั่นคือความภาคภูมิใจของพวกเขา เคยถูกคนดูแคลนเช่นนี้เสียที่ไหน จะให้สตรีนางหนึ่งมาปกป้องได้อย่างไร!

ทันทีที่หนิวโหย่วเต้าเห็นท่าทางของทหารเหล่านี้ เขาก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว แอบสบถอยู่ในใจ รีบเอ่ยกล่อมซางเฉาจงว่า “ท่านอ๋องอย่าใช้อารมณ์พ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเฉาจงไม่สนใจเขา หันไปมองซางซูชิงผู้เป็นน้องสาว ส่วนตัวเองชักดาบง้าวที่ห้อยอยู่บนหลังม้าขึ้นมา

ซางซูชิงยกมือถอดหมวกม่านแพรออกแล้วโยนทิ้งไป เผยใบหน้าอัปลักษณ์ ดึงผ้าผืนหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระบนหลังม้า สะบัดกางท้าสายลม เป็นธงผืนใหญ่ที่แดงฉานดุจเปลวเพลิง ปักลายอินทรีทองที่ดูเหมือนหงส์เพลิงกำลังสยายปีก

บนผืนธงมีรูอยู่ประปราย คล้ายจะเกิดจากการถูกธนูยิง

สายตาขององครักษ์หลายร้อยนายล้วนจับจ้องไปที่ธงรบ ทรวงอกแต่ละคนกระเพื่อมขึ้นลง สภาพอารมณ์ซับซ้อน องครักษ์นายหนึ่งส่งทวนยาวด้ามหนึ่งให้

ทวนยาวถูกใช้ต่างเสาธงผูกธงรบเข้าไป ซางซูชิงยกทวนยาวขึ้น เชิดธงรบผืนนั้นขึ้นมา ปลิวไสวรับลม

กองกำลังจากจังหวัดกว่างอี้ของเฟิ่งรั่วหนานต่างมองดูธงรบขาดๆ ที่ปลิวสะบัดรับสายลมผืนนี้!

เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋เหยาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านอ๋อง เป้าหมายของอีกฝ่ายคือพระองค์ อย่าได้บุ่มบ่ามพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเฉาจงไม่สนใจเขา สายตามองไปเบื้องหน้า ทัพศัตรูบุกเข้ามาใกล้พอสมควรแล้ว เขาชูดาบง้าวในมือขึ้น ส่งเสียงตะโกนว่า “ผู้ใดยินดีสละชีพ!”

กององครักษ์ที่อยู่ด้านหลังพลันตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน “เลิศล้ำห้าวหาญ!” ต่างพากันชักดาบง้าวออกมาในทันใด ไอสังหารอันแรงกล้าแผ่กระจายออกมา

เสียงตะโกนกร้าวที่โพล่งขึ้นมาโดยไม่มีวี่แววมาก่อนเช่นนี้ ทำให้ไพร่พลของทางเฟิ่งรั่วหนานสะดุ้งโหยง

ซางเฉาจงตะโกนอีกครั้ง “ผู้ใดยินดีสละชีพ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า