ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 84

ตอนที่ 84 กลอนดี เป็นกลอนดี

หากว่ากันในมุมหนึ่งแล้ว เขาเห็นซ่งเหยี่ยนชิงมาตั้งแต่เล็กจนโต ซ่งเหยี่ยนชิงไม่ชอบเรียนหนังสือตั้งแต่เด็ก บังเอิญไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์พอดี ถ้าหากตระกูลซ่งบีบบังคับให้ซงเหยี่ยนชิงร่ำเรียนหนังสือ เขาก็จะหลบไปอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทันที ดังนั้นพื้นฐานของซ่งเหยี่ยนชิงเป็นอย่างไรเขาย่อมทราบดี ด้วยภูมิหลังของตระกูลซ่ง การจะเสาะหาคนมาเขียนกลอนให้สักสองสามบทนั้นมิใช่เรื่องยากเย็นอันใดเลย

ทันทีที่เขาเห็นบทกลอนในมือ เขาก็มั่นใจว่ามิใช่กลอนที่แต่งโดยซ่งเหยี่ยนชิง เพียงแต่คนก็ตายไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรอีก แล้วก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องทำให้ขายหน้าต่อหน้าคนนอกด้วย

แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลอนใดก็ตามแต่ เขาก็รู้สึกนับถือในตัวลู่เซิ่งจงคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะใช้ร้านเครื่องเขียนเช่นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของแผนการได้ ตอนแรกยังนึกว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกตนอยู่ ตอนนี้พอคิดดูดีๆ ก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า ซางเฉาจงมีกำลังคนมากมายปานนั้น พวกเขาย่อมต้องมีการใช้เครื่องเขียนอย่างแน่นอน หากลงมือจากจุดนี้ก็จะไม่สะดุดตาและไม่ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นด้วย เรียกได้ว่าเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง แล้วตอนนี้ฝ่ายนั้นก็มาหาอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ มิใช่หรือ

“ยืมบทกลอนของซ่งเหยี่ยนชิงมาใช้ ล้างแค้นให้เขาได้ ก็นับว่าเป็นกงเกวียนกำเกวียนกระมัง หวังว่าดวงวิญญาณของซ่งเหยี่ยนชิงที่อยู่บนสวรรค์จะช่วยคุ้มครองพวกเราด้วย!” ลู่เซิ่งจงถอนหายใจ จากนั้นก็เอ่ยกับหลิวจื่ออวี๋ว่า “เรื่องนี้ไม่อาจรีบร้อนได้ มียอดฝีมือจากสำนักหยกสวรรค์อยู่ ไม่มีวิธีที่เร็วไปกว่านี้แล้ว หวังว่าหลิวซยงจะอดทนรอหน่อย”

หลิวจื่ออวี๋พยักหน้ารับ “ได้! จัดการทุกอย่างตามแผนการของลู่ซยงแล้วกัน!” สาเหตุที่เปลี่ยนแปลงท่าที ย่อมเป็นเพราะมองเห็นความสามารถของลู่เซิ่งจงแล้ว การที่มีคนมาซื้อของเมื่อครู่นี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าวิธีของลู่เซิ่งจงได้ผลจริงๆ

ลู่เซิ่งจงประสานมือขอบคุณที่เขายอมเข้าใจ จากนั้นเอ่ยถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าครั้งนี้ทางหลิวซยงมากันกี่คน ข้าจะได้วางแผนได้ถูก”

หลิวจื่ออวี๋กล่าวตอบ “ยังมีศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงอีกคู่หนึ่ง ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทอง เดี๋ยวพอถึงเวลาที่ควรจะปรากฏตัว พวกเขาก็จะปรากฏตัวเอง”

ลู่เซิ่งจงลอบรำพัน มีอำนาจมีอิทธิพลนี่มันช่างดีจริงๆ เพื่อล้างแค้นให้ทายาทที่ไม่เอาไหนคนหนึ่งของตระกูลซ่งแล้ว คิดไม่ถึงว่าสำนักเซียนสถิตจะส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองมาถึงสองคน

……

ภายในคฤหาสน์กลางเขา ใต้ต้นไม้เก่าแก่แข็งแรงต้นหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าใช้มือหนึ่งค้ำกระบี่ยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าท่าทางเผยให้เห็นถึงความรู้สึกเกียจคร้าน เป็นความเกียจคร้าน ทว่ามิใช่เฉื่อยชา ทั้งสองมีความต่างกันในด้านของจิตใจ เขามองคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังสาละวนทำงานอยู่ใต้ชะง่อนผาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ใต้ชะง่อนผาเป็นพื้นที่รกร้างผืนหนึ่ง หยวนกังสั่งการให้เหล่าสมณะวัดหนานซานหักร้างถางพงสร้างพื้นที่เพาะปลูก สอนเหล่าสมณะวัดหนานซานปลูกพืชผัก เหล่าสมณะวัดหนานซานล้วนปลูกผักเป็น แต่เห็นได้ชัดว่าแนวคิดในการเพาะปลูกของหยวนกังนั้นล้ำหน้ากว่า หนิวโหย่วเต้านึกสงสัยอยู่บ้างว่าสักวันหยวนกังจะสร้างเรือนกระจกปลูกผักขึ้นมาหรือเปล่า

ระหว่างเดินทาง หนิวโหย่วเต้าให้หยวนกังรวบรวมเครื่องปรุงรสสำหรับประกอบอาหารมาจำนวนหนึ่ง แต่หยวนกังได้รวบรวมเมล็ดพันธุ์ผักมาด้วยไม่น้อยเลย พอมาถึงอำเภอชางหลูก็สั่งให้คนไปซื้อเมล็ดพันธุ์มาเพิ่มอีกเล็กน้อย

คนอื่นอาจไม่รู้ แต่หนิวโหย่วเต้ารู้ดีว่าหยวนกังมีปัญหาส่วนตัวอย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ชอบปลูกผัก หยวนกังไม่ชอบนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร บอกว่าชอบทำเรื่องที่มีประโยชน์มากกว่า ยกตัวอย่างเช่นการปลูกผัก อย่างน้อยหยวนกังก็รู้สึกว่าการปลูกผักน่าสนใจกว่าการนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร หนิวโหย่วเต้าหมดหนทางจะอธิบายถึงความแตกต่างทางคุณค่าระหว่างทั้งสองสิ่ง ต่างคนต่างมีมุมมองและแนวคิดต่างกันไป เขาเองก็ไม่มีทางบังคับให้หยวนกังทำเรื่องที่ไม่ชอบด้วย

แต่แน่นอน การปลูกผักก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอันใด หนิวโหย่วเต้าเองก็รู้เช่นกันว่านั่นคือนิสัยที่ติดตัวมาจากการใช้ชีวิตกับผองพี่น้องเมื่อในอดีตของหยวนกัง กลุ่มพี่น้องที่หยวนกังเคยอยู่ด้วยเหล่านั้นชื่นชอบเรื่องนี้

เพียงแต่การปลูกผักต้องใช้เวลา นับตั้งแต่ปลูกลงไปจนกระทั่งงอกเงยขึ้นมาจะต้องมีช่วงเวลาในการเติบโต!

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาจะไปจากที่นี่ รู้ว่าเขาจะไปเก็บตัวบำเพ็ญเพียร แต่หยวนกังก็ยังพาเหล่าสมณะวัดหนานซานไปปลูกผักอีก หนิวโหย่วเต้าได้แต่แอบถอนใจ เห็นได้ชัดว่าหยวนกังยังคิดว่าพวกเขาจะกลับมาอีก อย่างน้อยในมุมหนึ่งมันก็แสดงให้เห็นว่าลึกๆ แล้วหยวนกังไม่อยากไปจากที่นี่ นี่ทำให้เขาจนปัญญาเหลือเกิน

หนิวโหย่วเต้ารู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำความเข้าใจในความคิดของคนบางคนที่มีต่อเรื่องบางอย่างได้ ไม่ทราบว่าปัญหาอยู่ที่ตนหรืออยู่ที่คนอื่นกันแน่ อย่างเช่นเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานที่อยู่ตรงหน้า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทำเรื่องชั่วร้ายไปไม่น้อย แต่ขอเพียงมีเวลาว่าง ทั้งการทำวัตรเช้าเย็นตามวิถีชีวิตประจำวันในวัดล้วนแต่ไม่เคยขาดตกบกพร่องไปเลย ทั้งการเคาะปลาไม้สวดมนต์ ทั้งการตีระฆังยามรุ่งและการลั่นกลองยามเย็นก็ล้วนคงไว้เสมอมา ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะถูกหยวนฟางหล่อหลอมมาเป็นระยะเวลานานหรือเปล่า ดูเหมือนสมณะทุกรูปล้วนคิดถึงแต่เรื่องการฟื้นฟูวัดหนานซานให้รุ่งเรือง เสมือนเป็นความศรัทธาของทุกคน

ด้านหนึ่งก็ฆ่าคนวางเพลิง แต่อีกด้านหนึ่งกลับไม่ยอมกินเนื้อ! จุดนี้ทำให้หนิวโหย่วเต้ารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ประสาทหรือเปล่าเนี่ย คิดไม่ถึงเลยว่าปีศาจหมีตัวหนึ่งจะมุ่งมั่นรับใช้พุทธศาสนา เอาแต่พูดพร่ำวาดหวังว่าจะสร้างวัดหนานซานที่สง่างามโอ่อ่าอยู่ไม่ขาดปาก แสดงถึงความศรัทธาที่มีต่อพุทธองค์

คิดไม่ถึงว่าปีศาจหมีตัวหนึ่งกลับเป็นคนคอยกล่อมเกลาเหล่าสมณะไม่ให้ลืมเลือนพุทธองค์ บ้าบอไปหมดแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?

ระหกระเหินเดินทางมาไกล ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พักผ่อน ทันทีที่ทุกคนได้หยุดอยู่กับที่ ก็ดูเหมือนว่าปัญหาต่างๆ ของแต่ละคนจะพากันปรากฏออกมาให้เห็น ซ้ำด้านนอกยังมีชายติดอ่างที่คุกเข่าเฝ้าคอยมาเป็นเวลาหลายวันอยู่อีกคนหนึ่ง ช่างน่าหงุดหงิดนัก

…..

บานหน้าต่างเปิดอ้า ประตูเองก็เปิดกว้าง เพื่อเป็นการบอกว่าชายหญิงที่อยู่กันตามลำพังภายในห้องมีความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้กระทำเรื่องใดที่ไม่ดีงาม

หนิวโหย่วเต้านั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่ตั้งอยู่ตรงข้ามหน้าต่าง มองซางซูชิงที่กำลังเกล้าผมให้ตนอยู่ในคันฉ่อง

หลังจากมีครั้งแรกเกิดขึ้น ทุกๆ เช้าสตรีนางนี้จะมาปรากฏตัวหน้าประตูเรือนของเขาในเวลาเดิม เกือบทำให้หนิวโหย่วเต้าเข้าใจผิดคิดว่าท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ชอบทำงานของสาวใช้

แต่พอผ่านไปหลายวัน ตัวหนิวโหย่วเต้าก็แทบจะชินไปแล้ว เคยชินจนเกือบนึกว่ามีสาวใช้คนหนึ่งคอยติดตามปรนนิบัติ

เขาถึงขนาดนึกสงสัยว่าสตรีผู้นี้ชอบพอตนใช่หรือไม่? เพราะหากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ เขาย่อมปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แม้จะมิใช่การตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่รูปโฉมเจ้าก็ชวนให้คนตกใจจริงๆ นี่นา จุดนี้มันยากจะยอมรับได้จริงๆ

แต่ในใจเขาทราบดี ที่นางเสนอตัวมาเอาอกเอาใจนั้นมิได้มีความเกี่ยวข้องกับการชอบหรือไม่ชอบตนเลย มันเป็นเพียงกลวิธีลดตัวเพื่อรั้งเขาเอาไว้เท่านั้น

น้ำใจของอีกฝ่าย ตนกลับมองทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ นี่ก็คือความน่ารำคาญของการที่มองอะไรๆ ออกอย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำตัวเลอะเลือน ไม่ปฏิเสธอันใด เลี่ยงไม่ให้คนเขาคิดมากไป

“เต้าเหยี่ย ตอนนี้เตรียมการไว้พอสมควรแล้ว พรุ่งนี้สามารถเดินทางไปยังเขตลับได้” ซางซูชิงเอ่ยเตือน

“โอ้!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ได้! กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า