ราชินีหงสาร้อยเล่ห์ นิยาย บท 31

“เซียวจิ่นหมิง!”

หยุนโม่โกรธจัด คำรามใส่เซียวจิ่นหมิงราวกับสิงโตตัวผู้ที่พร้อมจะปะทะกับศัตรูก็ไม่ปาน ยังดีที่มีองครักษ์รักษาพระองค์หลายคนช่วยกันจับเขาไว้แน่น จึงช่วยป้องกันไม่ให้เขาเสียการควบคุมต่อหน้าพระพักตร์ได้ หยุนหรั่นเฟิงรีบดึงเขาไว้ "ท่านพ่อ! มีทั้งพยานมีทั้งหลักฐานแล้ว อีกทั้งฝ่าบาทและไทเฮาก็ประทับอยู่ที่นี่ด้วย พวกพระองค์จะต้องคืนความเป็นธรรมให้ลูกได้แน่เจ้าค่ะ!"

อย่างเซียวจิ่นหมิงนั่น นางจะหาทางอัดให้น่วมเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ที่นี่คือโถงท้องพระโรงหลัก ฮ่องเต้เฉียนคังกับไทเฮาก็อยู่ด้วย การเสียมารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก นางก็ไม่ควรให้เรื่องของตัวเองกลายเป็นหลุมดัก ที่ทำให้หยุนโม่เป็นฝ่ายตกลงไปเสียเองได้

หยุนโม่กัดฟันกรอด "เฟิงเอ๋อวางใจเถอะ วันนี้พ่อจะต้องพาเจ้ากลับไปอย่างแน่นอน!"

ลูกชายตัวเองทำเรื่องอัปยศชวนอับอายขายหน้าขนาดนี้ แม้ว่าฮ่องเต้เฉียนคังจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน  แต่ด้วยหน้าตาศักดิ์ศรีย่อมไม่อาจยอมถูกลดคุณค่าลงได้ จึงแผดเสียงตะโกนใส่เซียวจิ่นหมิงดังลั่นว่า "ไอ้ลูกสารเลว! เจ้ายังมีอะไรที่จะพูดอีก!"

เซียวจิ่นหมิงหันไปมองหยุนหรั่นเฟิง รู้สึกจากใจจริงเลยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ ความคิดของนางช่างกล้าหาญไม่กลัวฟ้าดิน ทำให้ใครที่ได้เห็นเป็นต้องตื่นตกใจจนตาค้าง!

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า "ลูกได้ถามใจตัวเองดูแล้ว รู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดให้ต้องละอาย  ลูกไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุการณ์ในวันนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งไม่มีหนทางหักล้างมันได้ ในเมื่อเส้นทางที่เลือกเดินมันไม่เหมือนกัน  เช่นนั้นแล้ว ไม่สู้ต่างคนต่างก็ถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างอยู่อย่างเป็นสุขจะดีกว่า!"

หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นอย่างเด็ดขาดว่า "ลูกยินดีหย่าภรรยาแต่โดยดี"

“ไม่ได้!” หยุนหรั่นเฟิงปฏิเสธอย่างเฉียบขาด!

เซียวจิ่นหมิงขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าที่หันไปมองหยุนหรั่นเฟิง แทบจะเรียกได้ว่าดุร้ายเหมือนอยากกินเลือดกินเนื้อให้ได้แล้ว: "เจ้ายังต้องการอะไรอีก?"

หยุนหรั่นเฟิงเค้นคำพูดออกมาทีละคำแบบช้า ๆ ชัด ๆ "เมื่อครู่ข้าได้บอกไว้ก่อนการตรวจสอบบาดแผลว่า ถ้าบาดแผลเหล่านี้เป็นของจริง ข้าจะหย่าสามี! เซียวจิ่นหมิง เป็นข้าที่หย่าเจ้า ไม่ใช่เจ้าหย่าข้า!"

“สามหาว! ใต้หล้านี้มีธรรมเนียมที่ให้ผู้หญิงหย่าสามีซะที่ไหน!” ดวงตาของเซียวจิ่นหมิงอึมครึมจนน่าขนลุก

หยุนหรั่นเฟิงยกยิ้มเย็นชา "แน่นอนว่าในโลกใบนี้ไม่มีธรรมเนียมที่ให้ผู้หญิงหย่าสามี แต่ก็ไม่มีองค์ชายที่ตบตีทำร้ายภรรยาเอกเช่นกัน เซียวจิ่นหมิง ข้าเป็นผู้หญิงที่ประพฤติตัวดี พอแต่งเข้าจวนองค์ชายแปด กลับต้องมาถูกรังแกทำให้ได้รับความอับอายยังไม่พอ จนตอนนี้ในที่สุดกว่าจะหลุดพ้นออกมาได้อย่างยากลำบาก ยังต้องให้ข้าเป็นฝ่ายแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ให้คนติฉินนินทาว่าถูกสามีหย่าอีกรึ? เซียวจิ่นหมิง นี่เจ้าคิดจะบีบบังคับข้าให้ไปตายสินะ!"

เซียวจิ่นหมิงได้แต่รู้สึกว่าหยุนหรั่นเฟิงเป็นพวกไม่เข้าใจเหตุผล "หยุนหรั่นเฟิง กฎธรรมเนียมของโลกใบนี้ตราไว้เช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดอยากจะเปลี่ยน ก็สามารถเปลี่ยนได้ตามอำเภอใจนะ!"

“เมื่อกฎมันไม่สมเหตุสมผล แน่นอนว่าย่อมต้องเปลี่ยนแปลงได้! ในตอนนั้นที่กลุ่มกบฏบุกเข้าโจมตีเมือง ไทเฮาที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งคว้าดาบนำกองทัพไปคุ้มกันประตูเมือง ไม่เช่นนั้นแล้ว จะมีแคว้นต้าหลี่ที่สงบร่มเย็นในวันนี้รึ ? เมื่อยี่สิบสามปีก่อนน้ำท่วมเมืองเฉียนโจว พวกขุนนางเอาแต่นั่งเงียบ ไม่ใช่เพราะฝ่าบาททรงมีดำรัสให้เปลี่ยนเส้นทางน้ำเมืองเฉียนโจว จนสามารถรักษายุ้งฉางในเฉียนโจวได้หรอกรึ?! ถ้าพวกเขาไม่เปลี่ยนกฎ จะมีแคว้นต้าหลี่ที่บ้านเมืองสงบสุขประชาราษฎร์ร่มเย็นในวันนี้ได้อย่างไร! "

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ไม่เพียงแต่ไทเฮาเท่านั้นที่รู้สึกประทับใจ แม้แต่ฮ่องเต้เฉียนคังก็ยังมองหยุนหรั่นเฟิงนานขึ้นอีกแวบหนึ่งด้วย "ที่เจ้าพูดมาก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่หลายส่วนจริง ๆ!"

ที่ผ่านมา ในใจของเซียวจิ่นหมิงคิดว่าหยุนหรั่นเฟิงเป็นพวกในสมองมีแต่ขี้เลื่อยมาโดยตลอด แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเปลี่ยนแปลงไปมากนัก พอได้ยินนางพูดประโยคยาว ๆ ออกมารวดเดียวแบบนี้ ก็อดตกตะลึงไม่ได้ "เรื่องแบบนี้เอามาเปรียบเทียบกันได้ด้วยรึ?"

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ทุกสิ่งในโลกล้วนมีเหตุมีผลทั้งนั้น ข้ารู้สึกว่ากฎนี้มันไม่ยุติธรรม ก็ย่อมอยากเปลี่ยนเป็นธรรมดา! ฮ่องเต้ทรงทุ่มเทกำลังสร้างสรรค์ประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง ส่งเสริมให้ผู้หญิงมีโอกาสได้ร่ำเรียนเขียนอ่านมีความรู้ ข้ายินดีเคารพและน้อมนำกฎนี้มาปฏิบัติ มันมีอะไรที่ไม่ถูกต้องล่ะ?!" หยุนหรั่นเฟิงพูดจาฉะฉานมีเหตุผลน่าเชื่อถือ

เซียวจิ่นหมิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ทั้งเจ้าและข้าในใจต่างก็รู้ดี ข้ายอมหย่ากับเจ้า นั่นถือว่าข้าให้ความเมตตาและรักษาสัจจะจนถึงที่สุดแล้ว เจ้าอยากทำลายกฎมันก็เรื่องของเจ้า แต่อย่าได้ขึ้นมาเหยียบย่ำบนหัวข้า!"

ทั้งสองถกเถียงกันไปมาแบบขิงก็ร่าข่าก็แรง ไม่มีใครยอมใคร  ฮ่องเต้เฉียนคังถูกพวกเขาทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด จึงอดหันไปมองไทเฮาไม่ได้ "เสด็จแม่ ตามความเห็นของท่าน....."

ไทเฮาทอดถอนใจอย่างหนัก “เอาเถอะ ๆ การแต่งงานครั้งนี้มันเกิดขึ้นเพราะข้าเป็นคนเริ่ม ก็ต้องจบที่ข้าถึงจะถูก ถ้ามันจะสิ้นสุดก็ให้สิ้นสุดไป แต่พวกเขายืนกรานที่จะแยกแยะเหตุถูกผิด นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดโต้แย้งกันแค่สามสี่ประโยคก็จะแก้ไขได้ ตามความเห็นของข้า ไม่สู้ให้ทั้งสองคนประชันกันสักตา เปรียบเทียบซึ่งกันและกัน ก็คงพอจะได้ข้อสรุปแล้วล่ะ"

เซียวจิ่นหมิงตกตะลึง "เสด็จย่า? ทำอย่างนี้มันจะได้อย่างไรกัน?"

เปรียบเทียบซึ่งกันและกัน?

เรื่องนี้มันอาศัยการแข่งขันมาตัดสินกันได้ด้วยรึ?

แต่หยุนหรั่นเฟิงกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยซักนิด

เดิมทีไทเฮาก็เป็นจอมพยัคฆ์หญิงอยู่แล้ว แม้ว่านางอยู่ในวังจะใช้ชีวิตแบบเก็บซ่อนเขี้ยวเล็บไม่แสดงด้านที่กระหายการต่อสู้ แต่นิสัยตรงไปตรงมาและชอบการแข่งขันก็ยังมีอยู่ ไม่อย่างนั้น นางไม่มีทางเข้ากันได้ดีกับเจ้าของร่างเดิมที่มีนิสัยเผด็จการชอบวางอำนาจขนาดนั้นแน่ ดังนั้นการคิดได้ว่าควรงัดวิธีการนี้มาใช้ ก็เป็นอะไรที่ถือว่าสมเหตุสมผลดี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีหงสาร้อยเล่ห์