ราชินีหงสาร้อยเล่ห์ นิยาย บท 37

“ไม่ต้องขอบคุณข้า พิษที่เจ้าโดนนี้พบเข้ากับเลือดก็จะขาดอากาศหายใจและตายทันที ก็เพราะร่างกายเจ้าแข็งแรง จึงสามารถฝืนทนได้ถึงตอนนี้ ไม่เช่นนั้นแม้ว่าจะเป็นข้า ก็ช่วยเจ้าไม่ได้ กลับไปหาหมอบำรุงรักษาร่างกายให้ดีๆ น่าจะไม่มีผลตามมาอะไร”

หยุนหรั่นเฟิงก็ไม่ถือเอาเป็นความดีความชอบ นางเลื่อมใสสุขภาพร่างกายของคนโบราณเหล่านี้เป็นที่สุดจริงๆ ฝึกฝนวิทยายุทธเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงไม่ได้เป็นการโอ้อวดจริงๆ ดูท่านางคงต้องทำกำหนดการเรื่องการฝึกฝนวิทยายุทธขึ้นมาแล้วจริงๆ

“ขอบ ขอบคุณ”

เซียวจิ่นหมิงบอกใบ้ให้คนที่อยู่ข้างๆหามจุยเฟิงลงไป ยืดสันหลังตรง มองไปทางหยุนหรั่นเฟิงที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเปิดเผย ในตามีความซับซ้อนแฉลบผ่านเล็กน้อย “ขอบใจมาก”

ช่วยคนเป็นความสมัครใจของหยุนหรั่นเฟิงเอง ไม่ได้คาดหวังให้เซียวจิ่นหมิงแสดงอะไรออกมา กำลังเตรียมตัวจะไปแล้ว เมื่อได้ยินเซียวจิ่นหมิงขอบคุณนางขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมาย จึงรีบแหงนหน้ามองฟ้าด้วยความประหลาดใจทันที

ท้องฟ้ามีฝนตกเป็นสีแดงแล้วหรือไง?

เซียวจิ่นหมิงหน้าบึ้งเล็กน้อย!

หยุนหรั่นเฟิงก็รู้ว่าตัวเองแสดงออกชัดเจนไปเล็กน้อย แต่นางก็ขัดแย้งกับเซียวจิ่นหมิงมานานแล้ว การทำให้เขาโกรธก็เกือบจะกลายเป็นสัญชาตญาณของนางไปแล้ว จึงโพล่งออกไปว่า “ไม่ต้องเกรงใจ อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็เคยเป็นสามีภรรยากัน คิดราคากันเองละกัน”

“........” ฉับพลันนั้นเซียวจิ่นหมิงก็รู้สึกได้ว่าความสับสนที่มีอยู่เต็มไปทั้งใจก่อนหน้านี้ล้วนเอาให้สุนัขไปแล้ว ผู้หญิงที่ใช้บุญคุณมาขอของตอบแทนแบบนางนี้ เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความขอบคุณ ยิ่งไม่จำเป็นต้องไว้หน้าด้วย!

หยุนหรั่นเฟิงสีหน้าจริงจัง “ทำไม ไม่อยากให้เหรอ?”

“........เจ้าต้องการเท่าไหร่?” เขาถามด้วยสีหน้าเย็นชา

หยุนหรั่นเฟิงยิ้มตาหยีเสนอเงื่อนไขราคาสูงออกไป “ทองคำ.......หมื่นตำลึง!”

คนข้างๆสูดหายใจด้วยความตกใจ โพล่งออกมาว่า “มากขนาดนี้เชียว!”

“ทองคำมีค่าหรือว่าชีวิตมีค่า?” หยุนหรั่นเฟิงยิ้มหวานแล้วกล่าว “ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน หากท่านไม่มีเงินจริงๆก็ติดค้างไว้ เขียนหลักฐานการยืมก็ได้แล้ว”

เซียวจิ่นหมิงขี้เกียจจะไร้สาระกับผู้หญิงคนนี้ บอกใบ้ให้ลูกน้องมอบตั๋วเงินให้ หมุนตัวแล้วเดินกลับไปโดยไม่หันกลับมา เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินหยุนหรั่นเฟิงพูดกับหลินหลังที่อดทนต่อความเจ็บปวดแล้วรีบตามเข้ามาว่า “หลินหลัง! ไป! ข้าจะพาเจ้าไปใช้เงิน!”

เซียวจิ่นหมิงหน้าดำขึ้นมาอย่างฉับพลัน สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป!

หยุนหรั่นเฟิงก็ขี้เกียจจะไปสนใจว่าเซียวจิ่นหมิงจะคิดอย่างไร หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าบาดแผลบนตัวของหลินหลังไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร ทั้งสองก็ไปเดินวนด้านนอกอยู่รอบหนึ่ง ใช้จ่ายทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงไปจนหมดเกลี้ยงได้สำเร็จ กลับถึงจวนแม่ทัพก็เป็นเวลาทานอาหารค่ำแล้ว

เจ้าของร่างเดิมมีนิสัยพาลบ้าอำนาจ พูดอะไรก็เป็นแบบนั้น แม่ทัพใหญ่ก็ค่อนข้างรักและเอ็นดูอีก คนในจวนแม่ทัพก็คุ้นชินกันมานานแล้ว แม้ว่านางจะกลับมาดึกขนาดนี้ก็ไม่มีผู้ใดว่าอะไรสักคำ คนเฝ้าประตูก็ยังคงแสดงความเคารพนางอย่างนอบน้อม “คารวะคุณหนูใหญ่”

“ท่านพ่อของข้ากลับมารึยัง?”

“แม่ทัพใหญ่ส่งข่าวกลับมา บอกว่าในวังพระราชทานงานเลี้ยง เกรงว่าคงจะต้องกลับดึกขอรับ”

หยุนหรั่นเฟิงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย นางใช้จ่ายไปตั้งเยอะซื้อของล้ำค่ามาให้หยุนโม่ไม่น้อยเชียวนะ ไม่สามารถมอบให้ต่อหน้าได้ ก็ยังน่าเสียดายจริงๆ

“เอากล่องไม้กี่ใบนี้ส่งไปไว้ในห้องหนังสือของท่านพ่อข้า หากว่าเขาถาม ก็บอกว่าข้าซื้อให้เขา” ชะงักครู่หนึ่ง แล้วพูดกำชับอีกว่า “ให้ห้องครัวต้มซุปแก้เมาและซุปขิงไว้หน่อย อย่าให้เขาเป็นหวัด”

คนเฝ้าประตูกำลังจะตอบรับ เสียงของลู่ซื่อก็ดังลอยมาจากสถานที่ไม่ไกลนัก ลู่ซื่อเดินผ่านกำแพงกั้นประตูเข้ามา กล่าวอย่างราบเรียบว่า “เรื่องจุกจิกเหล่านี้ของท่านแม่ทัพมีข้าจัดการด้วยตัวเอง จึงไม่ลำบากเฟิงเอ๋อให้ต้องเป็นห่วงแล้ว” เหลือบมองกล่องเล็กๆใหญ่ๆในมือของคนเฝ้าประตูด้วยแววตาอันเย็นชาเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพไม่ชอบฟุ้งเฟ้อ เงินเล็กน้อยทั้งหมดที่มีในบ้าน ก็ล้วนเอาไปเป็นเงินอุดหนุนให้อดีตผู้ใต้บังคับบัญชา เจ้าซื้อของมามากมายขนาดนี้ มอบให้อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นของเขายังจะดีซะกว่า ท่านแม่ทัพน่าจะชอบยิ่งกว่าหน่อยหนึ่ง”

นี่คือการตำหนิเป็นนัยๆและแบบโจ่งแจ้งว่านางใช้จ่ายเงินพร่ำเพรื่อ?

หยุนหรั่นเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย

นางรู้ว่าลู่ซื่อไม่ชอบเจ้าของร่างเดิม บังเอิญ นางก็ไม่ค่อยชอบนางเช่นกัน ในเมื่อทั้งคู่เห็นกันก็ต่างเบื่อขี้หน้ากัน ต่างฝ่ายต่างอยู่ให้ไกลกันไม่ว่า ไม่กี่วันนี้ลู่ซื่อยังนับว่าทำตัวดี ทำไมวันนี้ถึงได้กระโดดออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้?

ด้วยความอยากรู้ในจุดนี้ นางยิ้ม แต่ไม่ได้โต้แย้งใดๆ

เป็นดังคาด ยากที่ลู่ซื่อจะเห็นนางว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ ไฟโทสะก็มากขึ้น เปล่งเสียงไม่พอใจออกมาเบาๆ “ตอนนี้อยู่ในบ้านไม่ว่า รอหลังจากนี้ออกจากบ้านไปแล้ว แต่งงานเข้าบ้านสามี ก็ต้องระมัดระวังคำพูดคำจา อย่าไปก่อปัญหาสร้างความวุ่นวายอีก”

แววตาของหยุนหรั่นเฟิงเฉียบคมทันที!

นางเพิ่งจะกลับบ้านมาได้ไม่กี่วัน ก็มีคนหมายปองนางอีกแล้ว?

เป็นคนสารเลวที่ไหนกัน!

ลู่ซื่อเห็นนางไม่พูดจา เข้าใจผิดคิดว่านางเชื่อฟัง สีหน้าอวดดี “สองสามวันนี้เจ้าก็ไม่ต้องออกจากบ้านแล้ว บำรุงรักษาอาการบาดเจ็บบนตัวให้ดี บำรุงรักษาดีแล้วจัดการบาดแผลให้เรียบร้อย ก็นับว่าเป็นหน้าตาทั้งหมดของครอบครัวเราแล้ว และจะได้ไม่ถ่วงเวลาเรื่องงานแต่งงานของพี่น้องคนอื่น”

หยุนหรั่นเฟิงหัวเราะเบาๆ

ตระกูลหยุนมีลูกสาวทั้งหมดสองคน นอกจากนางก็คือหยุนหรั่นเฉิน ลู่ซื่อคิดอยากจะให้นางแต่งงานออกไปไวๆเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เพื่อจะปูทางให้หยุนหรั่นเฉินรึไง? แม้แต่คนแบบฉินเจี่ยนหยุนหรั่นเฉินก็ยังไม่อยากจะแต่งงานด้วย แล้วยังจะอยากแต่งกับใครอีก?

“มีคนมาสู่ขอแล้วหรือ?” นางถาม

“แน่นอนว่าต้องมีคนมีสู่แล้วสิ” ลู่ซื่อยิ้มแล้วกล่าว “พ่อบ้านของจวนองค์ชายใหญ่มาถึงบ้านด้วยตัวเอง” ชะงักเล็กน้อย บนใบหน้าของนางปรากฏความภาคภูมิใจออกมาเล็กน้อย “ดีที่ข้ายังนับว่ามีหน้าตาอยู่บ้าง เข้าไปปล่อยข่าว องค์ชายใหญ่ก็ส่งคนมาที่บ้านแล้ว บอกว่าจะรับเจ้าเป็นพระชายา!”

แววตาของหยุนหรั่นเฟิงเคร่งขรึมทันที ในดวงตาอันงดงามเต็มไปด้วยประกายอันเฉียบคม “ท่านเป็นฝ่ายเสนอตัวเข้าไปเองหรือ?”

เมื่อลู่ซื่อถูกนางเพ่งมอง จิตใจก็รู้สึกพะว้าพะวังเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก ฝืนกล่าวโดยไม่กล้าสบตากับหยุนหรั่นเฟิงว่า “เจ้าพูดจากับแม่ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?”

หยุนหรั่นเฟิงก้าวไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน คว้าจับเส้นเอ็นที่แขนของลู่ซื่อไว้ ลู่ซื่อรู้สึกเพียงแค่ปวดแขนขึ้นมาอย่างฉับพลัน และใช้แรงไม่ได้แม้สักนิด “เจ้าทำอะไร? ให้คนมา! ยังไม่รีบดึงนางออกไปอีก!”

ทุกคนมองหน้ากัน แต่ในเวลาอันสั้นนั้นกลับก็ไม่มีคนกล้าเข้าไป

หยุนหรั่นเฟิงออกแรงเล็กน้อย “พูด!”

ลู่ซื่อทั้งโกรธและเกลียด แต่ก็สะบัดมือของนางให้หลุดไปไม่ได้ เจ็บปวดจนหน้าของนางเปลี่ยนสี สุดท้ายก็เปิดปากพูด “.......ไม่ใช่ข้าไป เป็นแม่นมในจวนองค์ชายใหญ่เป็นคนเชิญให้ข้าไปดื่มชาและสืบข่าวคราว ข้า ข้าก็......”

หยุนหรั่นเฟิงโล่งอกไปเล็กน้อย

ยังดีที่ไม่ใช่ลู่ซื่อเสนอตัวเข้าไปเอง ยังไม่นับว่าอับอายขายหน้าเกินไปนัก

นางสบตากับแววตาที่ทั้งตกใจและโกรธเคืองของลู่ซื่อ น้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง “ปีนี้องค์ชายใหญ่ก็อายุเกินสี่สิบปีแล้ว เทียบกับท่านพ่อข้าก็น้อยกว่าไม่เกินสองปี พระชายาสิ้นพระชนม์ติดต่อกันมาสองคน แม้ว่าในจวนจะไม่มีพระชายาเอก แต่ในจวนก็มีสนมนางบำเรอนับไม่ถ้วน เรื่องการแต่งงานดีๆเช่นนี้ ทำไมท่านไม่ให้หยุนหรั่นเฉินไปล่ะ?”

“เฉินเอ๋อเป็นลูกสาวผู้ดีมีสกุลที่ยังไม่เคยแต่งงาน! จะแต่งงานกับคนแก่ลามกนั่นได้อย่างไร!” ลู่ซื่อโพล่งออกไปแล้ว จึงตระหนักได้ว่าตัวเองพูดอะไร หน้าขาวหน้าเขียวปะปนกัน พูดจาไม่ออกชั่วขณะ

หยุนหรั่นเฟิงหัวเราะเยาะออกมาเสียงหนึ่ง “หยุนหรั่นเฉินเป็นลูกสาวผู้ดีมีสกุล ข้าก็เป็นลูกกำพร้าที่ปล่อยให้ใครก็ได้รังแกเหรอ? ลู่ซื่อ ก่อนหน้านี้ท่านรังแกข้าดูถูกข้า ข้าเห็นแก่หน้าท่านพ่อของข้า ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับท่าน ข้าเตือนท่านอย่าได้มาก้าวก่ายเรื่องของข้าอีก ไม่เช่นนั้น ความแค้นเก่าใหม่ของพวกเราก็เอามาคิดรวบยอดซะเถอะ!”

“ข้า......เจ้า......”

“ท่านคิดว่าองค์ชายใหญ่เห็นแก่หน้าของท่านจริงเหรอ ที่เขาเห็นคืออำนาจชื่อเสียงของท่านพ่อ เห็นแก่ชื่อเสียงตระกูลหยุนของข้า หากว่าท่านยังเลอะเลือนต่อไป ทำร้ายตระกูลหยุน ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยท่านไว้!”

นางสะบัดลู่ซื่อออกไปอย่างรุนแรงทันที ลู่ซื่อล้มลงนั่งไปบนพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว เพ่งมองหยุนหรั่นเฟิงด้วยความตกใจกลัว “เจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าทำเช่นนี้กับข้า!”

หยุนหรั่นเฟิงโน้มตัวลงไปเล็กน้อย ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มอันเย็นยะเยือกขึ้นนิดหน่อย “ข้าแม้แต่เซียวจิ่นหมิงก็ยังกล้าหย่า ท่านคิดว่าตัวท่านเองสูงส่งกว่าหรือไง? ท่านทำตัวดีๆประพฤติตัวดีๆให้ข้า ไม่เช่นนั้น ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

ลู่ซื่อตะโกนด้วยความเดือดดาล: “หยุนหรั่นเฟิง!”

หยุนหรั่นเฟิงชำเลืองมองนางด้วยความดูแคลน และเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีหงสาร้อยเล่ห์