เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็สูดลมหายใจเข้าพยายามปรับอารมณ์แล้วพูดต่อไปว่า “พ่อคะแม่คะ หนูขอโทษ หนูไม่ควรจะโกหกว่าไม่รู้จักพวกเขา แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาสร้างความทรงจำอันโหดร้ายน่ากลัวกับหนูมามากเหลือเกิน หนูไม่อยากจะกลับไปพูดถึงพวกเขาอีก ทุกครั้งที่พูดถึงพวกเขาหนูก็จะนึกถึงชีวิตอันมืดมนและน่ากลัวตอนนั้น ดังนั้นหนู…..”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ ชวนชม ฮือๆๆ” คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์โอบกอดชวนชมเอาไว้ด้วยความรู้สึกสงสารเห็นใจ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่เป็นตัวเอง
แม้แต่เยี่ยมบุญเอง สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด แววตาที่มองดูเธอไม่ได้ดูดุเดือดมืดมนเหมือนเมื่อครู่
เห็นได้ชัดว่าประโยคเมื่อครู่ของชวนชม ขจัดความสงสัยในใจของเยี่ยมบุญได้จนสิ้น
แต่สองสามีภรรยา สุเวทย์กลับไม่พอพอใจ
สุเวทย์โมโหเสียจนตัวสั่น “ไร้สาระ นังเจินเจิน ไอ้ลูกไม่รักดี! ฉันบอกกับแกเมื่อไหร่ว่าแกไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของฉัน ฉันไปเก็บซ่อนสร้อยคอไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”
“นั่นน่ะสิ แกกำลังใส่ร้ายป้ายสีพวกเราอยู่ สองสามีภรรยาสะท้อนดวงตาแดงเรื่อออกมา
ตอนนี้ทั้งสองคนเข้าใจแล้วว่า ลูกอกตัญญูคนนี้ไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ดังนั้นจึงได้สร้างคำโกหกที่ไม่สมเหตุสมผลเหล่านี้ออกมา
ก่อนหน้านี้ทำไมพวกเขาถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเธอมีจิตใจกล้าหาญและทะเยอทะยานขนาดนี้
อย่าว่าแต่คุณสุเวทย์และภรรยาที่คิดอย่างนี้ แม้แต่ทามทอยก็รู้สึกตกตะลึง สีหน้าของเขาดูจริงจังมาก
เขาหรี่ตาลงแล้วมองไปทางชวนชมด้วยความสงสัย
ผู้หญิงคนนี้ปฏิกิริยาตอบสนองได้รวดเร็วมาก เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคก็สามารถพลิกผันสถานการณ์ตรงหน้าได้
ทั้งตนและมายมิ้นท์มองเธอต่ำเกินไป ตั้งแต่แรกที่ทั้งสองเลือกเธอให้เป็นสายสืบในบ้านก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดแล้ว
“อืม คุณนี่ไม่เบาเลยนะ” ทามทอยมองไปทางชวนชมแล้วตบมือขึ้น “เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคก็สามารถขจัดความสงสัยของประธานเยี่ยมบุญได้”
ชวนชมก้มหน้าลงเพื่อปิดบังความโศกเศร้าในตาของตน
เธอเข้าใจว่าเขาต้องการที่จะจุดไฟความสงสัยในใจของเยี่ยมบุญและภรรยาขึ้น
แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ที่ครั้งนี้เธอจะไม่ให้โอกาสเขาอีก
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชวนชมก็ดึงแขนเสื้อของสองสามีภรรยาตระกูลภักดีพิศุทธิ์ไว้ “พ่อคะ แม่คะ ตอนนี้คุณมายมิ้นท์ต้องการที่จะตรึงหนูเอาไว้กับสองสามีภรรยาคู่นี้ เธอต้องการให้หนูยืนยันว่าหนูเป็นลูกสาวของทั้งสองคนนี้ ดังนั้นต่อให้พูดอะไรออกมามากก็ไร้ประโยชน์ค่ะ รอดูผลการตรวจดีเอ็นเอเถอะ รอให้ผลตรวจดีเอ็นเอออกมาแล้ว พวกเขาก็คงไม่มีอะไรจะพูด”
สองสามีภรรยาหันมาสบตากันแล้วพยักหน้า
“เอาแบบนี้ก็ดี” เยี่ยมบุญตอบรับเบาๆ แล้วรู้สึกว่าสมเหตุสมผล
ทามทอยที่อยู่ด้านข้างได้แต่ขมวดคิ้วหากันด้วยความสงสัย “มายมิ้นท์ครับ พวกเขาทำการตรวจดีเอ็นเอแล้วเหรอ?”
“ใช่ค่ะ” มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากแล้วตอบเบาๆ
ทามทอยรู้สึกสงสัยและประหลาดใจมาก “เจินเจินกล้าทำอย่างนั้นได้ยังไง?”
มายมิ้นท์ที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ ใช้นิ้วมือเคาะไปตรงที่วางแขนเบาๆ “นั่นสิคะ ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงกล้า”
เนื่องจากเจินเจินไม่ใช่ลูกสาวของสามีภรรยาตระกูลภักดีพิสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้เองการที่เจินเจินกล้าจะเอาผมของเธอไปทำการตรวจดีเอ็นเอ คงต้องมีอะไรบางอย่างแน่
ไม่เช่นนั้นชวนชมจะกล้าทำแบบนี้ได้ยังไง? เปปเปอร์ที่รู้เหตุผลเพียงคนเดียวได้แต่หรี่ตาลงแล้วก้มหน้ามองดูมายมิ้นท์ ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยดูเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ว่าในที่สุดเขาก็เลือกที่จะไม่พูดมัน
สถานการณ์ดูเงียบลงชั่วขณะ แม้แต่สุเวทย์กับภรรยาก็ปลีกตัวออกไปยืนอยู่ตรงมุมโดยไม่พูดอะไรออกมาเลย
เนื่องจากคนใหญ่คนโตเหล่านี้ยังไม่กล้าพูด ชี้ให้เห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างหนักหน่วงและดูกดดัน ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ในที่สุดประตูของห้องแล็บซึ่งใช้สำหรับตรวจดีเอ็นเอก็ถูกเปิดออก ป้าทิพย์ และคนของเยี่ยมบุญก็เดินตรงออกมา โดยมีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเดินติดตามมาด้วย
ในมือของเจ้าหน้าที่คนนั้นถือเอกสารออกมาด้วยฉบับหนึ่ง เป็นเอกสารอะไรนั้นคาดว่าทุกคนก็คงจะรู้ดี
เยี่ยมบุตรและภรรยารีบลุกขึ้นแล้วเข้าไปถามด้วยความเร่งรีบว่า “ผลสรุปออกมาหรือยัง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...