“อยากไล่ผมกลับ?”
“…” ไป๋ซู่เย่พบว่าเย่เซียวยังคงขี้อ่อนไหวเหมือนเดิม เธอส่ายศีรษะ “ฉันแค่ถามเฉยๆ อีกอย่างฉันอยู่โรงแรมคนเดียวน่าเบื่อขนาดนี้ มีคุณอยู่อย่างน้อยฉันก็มีคนให้คุย คิดจะไล่คุณกลับได้ยังไง?”
“แค่เพราะผมอยู่แก้เบื่อคุณได้เลยไม่ไล่ผมไป?”
“ไม่ใช่แค่นั้นอยู่แล้ว”
“มีอะไรอีก?”
เธอยิ้ม “ตอนบ่ายฉันจะทำขนมหวาน กำลังเครียดเลยว่าไม่มีคนช่วยฉันชิม คุณอยู่ ก็คือหนูทดลองชั้นดีเลยไม่ใช่เหรอ?”
“…” เย่เซียวหน้าบึ้งเต็มที
ผู้หญิงคนนี้กลับเห็นเขาเป็นหนูทดลอง
เขม่นใส่เธอแวบหนึ่ง เย่เซียวไม่อยู่ในห้องครัวต่อพลางหมุนตัวเดินกลับห้องนั่งเล่น ขณะนั้นเองกริ่งประตูแผดเสียงดัง เธอคาดว่าน่าจะเป็นพวกหยูอันเลยไม่สนใจ
………………
ไป๋ซู่เย่ยกโจ๊กสองถ้วยมาที่ห้องอาหาร
“ทานข้าวเช้าได้แล้ว”
เธอเรียกทีหนึ่งไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เย่เซียวกำลังนั่งบนโซฟาพลิกดูเอกสารในมือ เธอเข้าไปใกล้ถึงพบว่านั่นเป็นผลรายการตรวจสุขภาพของเธอ
“ทำไมเหรอ?” ไป๋ซู่เย่ก้มหน้าเหลือบมองสีหน้าเย่เซียววูบหนึ่ง เห็นว่าสีหน้าเขาหนักอึ้งและหัวคิ้วขมวดแน่น
“ผลตรวจไม่ดีเหรอ?”
เย่เซียวเชยตามองเธอแวบหนึ่ง “เดี๋ยวไปโรงพยาบาลกับผมอีกที”
“หนักหนามากเลยเหรอ?”
เย่เซียววางผลตรวจไว้อีกข้างโดยที่เม้มปากบางแน่นไม่ตอบอะไร แค่ลุกยืนกุมมือเธอไว้แน่น เพียงแค่การกระทำเล็กๆ นี้ไป๋ซู่เย่ก็สัมผัสได้ถึงความประหม่าของเย่เซียวได้อย่างชัดเจน
น้อยครั้งที่เขาจะมีอารมณ์แบบนี้
เมื่อครั้นไปทะเลซ่าเหยียนแล้วถูกคนกลุ่มนั้นไล่ล่าเขาก็ไม่เคยประหม่ามาก่อน
“เย่เซียว คุณบอกความจริงฉันมาว่าเป็นยังไงกันแน่?”
เย่เซียวมองเธอด้วยแววตาล้ำลึกแวบหนึ่ง “มีก้อนเนื้อในร่างกาย แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าดีหรือร้าย ฉะนั้นวันนี้ต้องไปทำการตรวจชิ้นเนื้ออีกที”
ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…
หมายความว่าหากเป็นก้อนเนื้อร้ายล่ะก็…
“ก็ยังไม่แน่ใจไม่ใช่หรือว่าร้ายหรือดี? คุณอย่าทำหน้าบึ้งไปเลย” ไป๋ซู่เย่ไม่คิดไปในทางที่เลวร้าย พยายามปรับน้ำเสียงให้ผ่อนคลายพลางยกมือลูบใบหน้าเย่เซียว “คุณดูฉันในตอนนี้สิ ก็สบายดีไม่ใช่เหรอ?”
เย่เซียวหายใจหนักอึ้งคว้าจับมือเธอไว้ด้วยมือเดียว ออกแรงเล็กน้อย“ดีอะไร? เกิดก้อนเนื้อในร่างกายแล้วดีตรงไหน? ผมว่าคุณไม่ดีสักที่นั่นแหละ!ไหนคุณบอกว่าตรวจสุขภาพทุกปีไง? นี่น่ะหรือที่คุณบอกว่าคุณแข็งแรงดี?”
เย่เซียวยิ่งพูดยิ่งโมโห น้ำเสียงเองก็ยิ่งแย่ลงแย่ลง
ไป๋ซู่เย่ถูกเขาตะคอกใส่จนตัวนิ่ง มองเขาครู่หนึ่งถึงเปล่งเสียงออกมาได้ “…เย่เซียว ตอนนี้ฉันเป็นผู้ป่วย มีอย่างคุณที่ไหนทำกับผู้ป่วยแบบนี้? ไม่ปลอบฉันแล้วยังดุฉันขนาดนี้”
หากสภาพจิตใจไม่แข็งแรงเกรงว่าคงถูกเขาดุด่าจนใจเสียแล้ว
พอเธอว่าเช่นนี้เย่เซียวก็ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งสีหน้าถึงผ่อนคลายลงกว่าเดิม มือที่บีบมือเธออย่างแรงในคราแรกคลายแรงลงบ้าง แต่พริบตาเดียวก็กระชับแน่น แขนยาวรั้งเธอเข้ามาในอ้อมแขน จับมือเธอให้วางตรงเอวตัวเอง
ปลายคางเขาวางซ้อนเหนือศีรษะเธอโดยไม่พูดอะไร เธอได้ยินแค่เสียงหายใจหนักหน่วงของเขา
แล้วก็…
พอรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!