สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย นิยาย บท 146

บทที่ 146 ข้าได้เลื่อนขั้นแล้ว

บทที่ 146 ข้าได้เลื่อนขั้นแล้ว

ณ ประตูเมือง มู่ซืออวี่นำเงินออกมาสองอีแปะ นายตรวจประตูเมืองที่เก็บค่าผ่านทางรู้จักนาง จึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “พี่สะใภ้ลู่ เงินของท่านเก็บไว้เถอะ พวกเราไม่กล้ารับ”

“มีอะไรไม่กล้ารับกัน? เงินของข้าร้อนหรือจะตำมือเจ้าหรืออย่างไร?” มู่ซืออวี่หัวเราะ

“ท่านได้เจอพี่ใหญ่ลู่แล้วหรือยัง?”

“ยังไม่พบเลย”

“ท่านเจอแล้วก็จะรู้เอง”

มู่ซืออวี่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายตรวจประตูเมืองจึงยืนกรานที่จะไม่รับเงินนาง แต่เสียเวลาอยู่ที่นี่มากไปก็ไม่ดี หลังจากขอบคุณพวกเขาแล้วนางจึงบังคับรถม้าเข้าไปในเมือง

“พวกเขามีเหตุผลอะไรถึงไม่รับ?” ชาวเมืองด้านหลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก

เจ้าหน้าที่คนนั้นมีสีหน้าเย็นชา “หากพวกเจ้ามีคนในครอบครัวทำงานอยู่ในศาลาว่าการ พวกเราก็จะไม่รับเช่นกัน”

“ลูกชายของข้าทำอาหารอยู่ในศาลาว่าการเชียวนะ!”

“ท่านป้า นี่ท่านล้อเล่นหรือเปล่า ถึงท่านจะเป็นแม่ของข้าก็ต้องเก็บค่าเข้าเมือง แต่ท่านผู้นั้นไม่เหมือนกัน นอกจากจะมีความดีความชอบใหญ่หลวง ก็ยังเป็นถึงคนโปรดท่านนายอำเภอเชียวนะ”

มู่ซืออวี่ที่บังคับรถม้าอยู่นึกถึงสิ่งที่นายตรวจผู้นั้นกล่าว ก่อนจะถามลู่เซวียนที่อยู่ข้างในว่า “เจ้าว่าท่าทีของพวกเขาแปลกไปหน่อยหรือไม่?”

“ไม่รู้สิ เมื่อคืนนี้พี่ชายข้าพักอยู่ที่ใด ถ้าไปหาพี่ชายของข้าก่อน ไม่แน่อาจจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

“ได้”

ในตอนเช้าตรู่เช่นนี้ เสียงอื้ออึงดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า

มู่ซืออวี่กระโดดลงจากรถม้า ซื้อซาลาเปาสองสามลูกแล้วส่งให้ลู่เซวียนที่อยู่ข้างใน

เขาเอ่ยปฏิเสธ “ข้าไม่หิว”

“ตอนนี้พวกเราไม่ขาดเงินทอง อย่างน้อยก็ควรกินให้อิ่มไม่ใช่หรือ?” มู่ซืออวี่กล่าวย้ำ “เอาไป”

วันนี้ออกมาตั้งแต่เช้า นางจึงไม่มีเวลาทำอาหารเช้า คิดจะมาหาของกินง่าย ๆ ในเมือง แต่ลู่เซวียนเคยผ่านวันเวลาอันยากลำบากมา เคยชินที่จะประหยัด กระทั่งซาลาเปาแค่สองลูกยังทำใจกินเข้าไปไม่ได้

นางไม่ชินกับนิสัยมัธยัสถ์เช่นนี้ของเขาสักที

“พี่ใหญ่” มู่ซืออวี่ส่งซาลาเปาที่ซื้อมาให้เจ้าหน้าที่หน้าประตู แบ่งให้คนละหนึ่งลูก “ซาลาเปาเนื้อบางไส้เยอะ อร่อยมากเลยล่ะ ลองชิมสักลูกเถอะ”

“สะใภ้ลู่ ท่านมาแต่เช้าเลย ข้าจะไปเรียกพี่ใหญ่ลู่ให้ท่าน” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรับไปพลางคลี่ยิ้ม “เมื่อคืนนี้ยุ่งกันจนดึกดื่น เขาเลยพักในศาลาว่าการ”

“เช่นนั้นต้องขอบคุณแล้ว” มู่ซืออวี่ยิ้ม

ลู่เซวียนมองมู่ซืออวี่พูดคุยกับเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูอย่างกระตือรือร้น คนในศาลาว่าการนี้ดูเหมือนจะสนิทสนมกับนางไม่น้อย

ไม่นานลู่อี้ก็ออกมา เมื่อเห็นมู่ซืออวี่ แววตาของเขาก็อ่อนโยนลง

มู่ซืออวี่ยัดซาลาเปาลูกหนึ่งใส่ปากของเขา “ลองชิมดู ยังร้อน ๆ อยู่เลย”

ลู่อี้ไม่มีเวลาแม้กระทั่งเอ่ยสิ่งใดออกมา เขายิ้มอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเคี้ยวซาลาเปาในปาก

“เสื้อผ้าบนตัวท่านเป็นของเมื่อวานนี้ ยังดีที่ข้าฉลาด จึงนำเสื้อผ้ามาให้ท่านด้วย” มู่ซืออวี่กล่าวจบก็เข้าไปในรถม้า แล้วนำห่อผ้าออกมาให้เขา

ลู่เซวียนเห็นพี่ชายของตนเมินการมีอยู่ของตนไปโดยสิ้นเชิงจึงกระแอมเบา ๆ

เท่านั้นเองลู่อี้จึงพบว่าลู่เซวียนก็มาด้วย

“เหตุใดถึงเข้าเมืองเล่า?”

ลู่เซวียนกล่าวว่า “พี่สะใภ้ให้ข้าออกมาข้างนอกบ้าง”

ชายหนุ่มพูดออกไปแล้วก็รู้สึกกระดากอายเล็กน้อย

มู่ซืออวี่เอ่ยกับลู่อี้ว่า “เขาเป็นหนุ่มกำลังโตคนหนึ่ง เหตุใดจึงจะอยู่แต่บ้านทุกวัน ข้าเลยแนะนำเขาให้ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่สำนักศึกษาในหมู่บ้านข้าง ๆ”

สายตาของลู่อี้ฉายแววประหลาดใจ “สอนหนังสือ?”

“ใช่แล้ว ที่หมู่บ้านข้าง ๆ ไม่ไกลนัก ไปมาสะดวกไม่น้อย ในตอนแรกข้าดูสำนักศึกษาอยู่สองสามที่ สุดท้ายก็เลือกสำนักศึกษาเหวินชาง ที่นั่นยังไม่มีอาจารย์ที่เหมาะสม”

อาจารย์ของสำนักศึกษาหมู่บ้านข้าง ๆ ผ่านการเรียนหนังสือมาเพียงแค่ห้าหกปีเท่านั้น เรียกว่าพอรู้หนังสือบ้าง หากจะกล่าวถึงผู้ใดที่มีพรสวรรค์เยี่ยมยอด พรสวรรค์และสติปัญญาของลู่เซวียนก็นับว่าไม่เลว

“หากเจ้าชอบก็ไปลองดูได้ หากไม่ชอบก็ไม่ต้องฝืน” ลู่อี้กล่าว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย