สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย นิยาย บท 846

สรุปบท บทที่ 846 ออกมาจากกรงได้เสียที: สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สรุปเนื้อหา บทที่ 846 ออกมาจากกรงได้เสียที – สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย โดย Internet

บท บทที่ 846 ออกมาจากกรงได้เสียที ของ สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย ในหมวดนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 846 ออกมาจากกรงได้เสียที

บทที่ 846 ออกมาจากกรงได้เสียที

หมู่นี้เมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมากมาย

ประการแรก มีคดีฆาตกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นศาลต้าหลี่ก็ดี สำนักตรวจการก็ดี กรมอาญาก็ดี พวกเขาต้องพบกับความวุ่นวายหลายคดีในแต่ละวัน

มือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังผลักดันเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ราษฎรอาณาจักรฮุ่ยตื่นตระหนก ราวกับว่าต้องการให้วิตก ท้ายที่สุดราษฎรก็จะผลักไสความกังวลนี้ไปกดดันราชสำนักแทน บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาแล้ว

ประการที่สอง บ้านขุนนางหลายคนถูกตรวจค้นและยึดทรัพย์ ขณะที่กำลังถูกตรวจค้น สกุลเหล่านั้นก็จะสาปแช่งตะโกนออกไปข้างนอก ‘สกุลลู่จอมบงการ อาณาจักรฮุ่ยเปลี่ยนเป็นสกุลลู่แล้ว!’

อย่างไรก็ตาม ราษฎรที่จริงจังกับเรื่องนี้มีไม่มากนัก อย่างไรเสียไม่ว่าอาณาจักรฮุ่ยจะเป็นสกุลใดล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ใดเลี้ยงปากท้องพวกเขาได้

แน่นอนว่าย่อมมีคนใช้โอกาสนี้สร้างความลำบากให้ลู่อี้ เพียงแต่ลู่อี้ยังใช้อำนาจของตนต่อไปจนถึงที่สุด ลมพัดใบหญ้าไหว*[1] ข้างนอกนั่นจึงสงบลงได้

มีรายงานทางทหารส่งมาจากชายแดนว่า ฟ่านหยวนซีหายตัวไปกลางสนามรบ สถานการณ์การรบที่เดิมทีเป็นฝ่ายได้เปรียบตกเป็นรองอีกครั้ง

“นี่จะทำอย่างไร?”

“นั่นสิ แรกเริ่มข้าก็กล่าวแล้วว่าไม่อาจให้ฝ่าบาทนำทัพ ตอนนี้ดีนัก คนก็หายตัวไปแล้ว น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ ทำอย่างไรดี?”

“รีบร้อนไปไย? พวกเราฟังว่าใต้เท้าลู่จะว่าอย่างไรดีกว่า”

ว่าราชกิจช่วงเช้า ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารล้วนหารือเรื่องการหายตัวไปของฟ่านหยวนซีอยู่ครึ่งชั่วยาม

ถึงแม้ฟ่านซวี่จะอายุยังน้อยแต่กลับมีกลิ่นอายของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ที่สามารถนั่งบนบัลลังก์มังกรได้อย่างมั่นคง ทว่าความไม่สบายใจก็ปรากฏให้เห็นได้จากดวงตาของเขา

เสด็จพ่อของเขาหายไป สุดท้ายแล้วฟ่านซวี่ก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เขาทำได้เพียงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่ลู่อี้พ่อบุญธรรมเท่านั้น ตอนนี้เด็กชายจึงจะเป็นกระดูกสันหลังของทั้งราชสำนัก

“ฝ่าบาทหายตัวไป ทว่าทหารที่ชายแดนไม่ได้หายไปเสียหน่อย ร้อนรนไปไย?” ลู่อี้เอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูจากรายงานผลการรบแล้ว ฝ่าบาทครองความได้เปรียบมาโดยตลอด การหายตัวไปครั้งนี้อาจเป็นกลยุทธ์ของเขา”

“ผู้สำเร็จราชการแทน ฝ่าบาทหายตัวไป ชายแดนไร้กระดูกสันหลัง ศึกนี้ยังจะสู้ต่อได้อย่างไร?”

“ใต้เท้าหวังกังวลมากเพียงนี้ เช่นนั้นข้าส่งท่านไปนำทัพที่ชายแดนดีหรือไม่?”

“ท่านอ๋องอย่าได้ล้อเล่นเลย ข้าน้อยเป็นขุนนางพลเรือน แม้กระทั่งดาบยังยกไม่ขึ้น”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะกระวนกระวายอะไร? ไม่เพียงมีแต่ฝ่าบาทที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดเท่านั้น แต่ยังมีแม่ทัพอีกหลายคนที่ชายแดน ข้าเชื่อว่าพวกเขาย่อมตัดสินใจได้ดีที่สุด” ลู่อี้เอ่ย “แม่ทัพเซี่ย ท่านนำกองหนุนไปเสริมทัพ”

เซี่ยคุนเดินออกมาจากแถวและกล่าวตอบลู่อี้ “ขอรับ”

“ตอนนี้แม่ทัพเซี่ยนำกองทัพไปจะมีประโยชน์อะไร?” ขุนนางผู้หนึ่งกล่าวพึมพำ

“ใต้เท้าหลิน ท่านมีข้อโต้แย้งหรือ?”

“ข้าน้อยไม่กล้า”

เซี่ยคุนกำลังจะนำทัพลงไปที่ชายแดน

อันอวี้จึงจัดงานเลี้ยงขึ้นมาแล้วเชิญครอบครัวของลู่อี้กับลู่เซวียนมาร่วมงานเลี้ยง

อันอี้หางยามนี้เป็นเพียงขุนนางเล็ก ๆ ผู้หนึ่งในกรมพระคลัง ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงอะไร จึงมักจะถ่อมตัวอยู่เสมอ ในโอกาสสำคัญเพียงนี้ เมื่ออันอวี้เชิญเขาไปร่วมงานเลี้ยงจึงพลันตอบตกลงอย่างหาได้ยาก

อันอี้หางได้งานนี้เพราะพรรคพวกของฟ่านเหยี่ยน จากนั้นฟ่านเหยี่ยนก็หนีไป สถานะของอันอี้หางจึงค่อนข้างกระอักกระอ่วน เขาจงใจตีตัวออกหากจากสกุลลู่และสกุลเซี่ย แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงของพวกเขา

“ท่านพี่ ท่านมาแล้ว เหตุใดยังต้องส่งของมาด้วยเล่า?” อันอวี้เห็นอันอี้หางมาจึงเอ่ยขึ้น

อันอี้หางหันไปมองเซี่ยเสี่ยวอันที่อยู่ข้าง ๆ อันอวี้แล้วเอ่ยว่า “มอบให้เสี่ยวอัน พวกเราพี่น้องไม่มีอะไรต้องเกรงใจ เจ้าก็ไม่ได้ขาดอะไร ข้าจึงไม่ได้เตรียมอะไรมาให้”

“ท่านสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้” อันอวี้เอ่ย “หากท่านบอกข้าเสียแต่เนิ่น ๆ ท่านคงไม่จำเป็นต้องแบกทุกอย่างไว้ ผ่านมาหลายปีเพียงนี้ ทุกครั้งที่ข้าไปหา ท่านมักจะเมินเฉย ข้าคิดว่าท่านเกลียดข้าเสียอีก”

“ข้าไม่อยากสร้างปัญหาให้เจ้า” อันอี้หางเอ่ย “พี่สะใภ้ของเจ้าตั้งครรภ์ห้าเดือนแล้ว ข้าคิดแล้วคิดอีก หากข้ายังอยู่เช่นนี้ต่อไปคงไม่ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ลูกข้าก็คงจะไม่อาจลืมตาอ้าปากได้ตามข้า”

“ข้ารับปาก” เซี่ยคุนเดินออกมา

“สามี ท่าน…” อันอวี้ขมวดคิ้ว “หากพี่ชายข้าจากไป พี่สะใภ้ข้าจะทำอย่างไร?”

นางไม่เอ่ยคำพูดไม่เป็นมงคลอีกต่อไป อย่างไรเสียอันอี้หางก็ดูมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่ง

“ที่จวนมีบ่าวรับใช้ พวกเขาย่อมดูแลนางเป็นอย่างดี อีกอย่าง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไปเยี่ยมนางเป็นบางครั้งบางคราว นางมีพื้นเพไม่ดี ย่อมอดทนต่อความยากลำบากได้เหนือกว่าที่เจ้าคิดมากมาย กับเด็กคนนี้นางก็ตั้งตารอเป็นอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าแม้นข้าไม่อยู่ นางก็คงจะดูแลลูกได้เป็นอย่างดี”

ลู่อี้เดินเข้ามาจากด้านนอก “ทำอะไรกันอยู่หรือ?”

อันอี้หางเห็นลู่อี้กับภรรยาจึงเหลือบมองลูก ๆ ของพวกเขาและเอ่ยกับอันอวี้ “เช่นนั้นข้ากลับก่อนแล้ว”

“ท่านไม่อยู่กินข้าวหรือ?”

“ข้าค่อยกินเมื่อกลับไปแล้ว”

อันอี้หางกล่าวทักทายลู่อี้กับมู่ซืออวี่แล้วเดินจากไป

“มีอะไรหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

อันอวี้จึงได้เล่าที่มาที่ไป

มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “หลายปีมานี้พี่ชายเจ้าขังตนเองอยู่แต่ในกรง เป็นเขาที่ไม่ยอมปลดปล่อยตนเองไป ไม่ใช่ผู้อื่น บัดนี้เขายินดีออกมาแล้ว นั่นเป็นเรื่องดี”

[1] ลมพัดใบหญ้าไหว อุปมาถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย